ผู้เข้าชมทั้งหมด: 550
การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อัตราการเติบโต GDP เฉลี่ยของไทย อยู่ที่ร้อยละ 1.8 ซึ่งเป็นอัตราต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับ ประเทศเศรษฐกิจสำคัญอื่นในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ทำให้การเติบโตของรายได้ต่อหัว ของคนไทยเพิ่มขึ้นในอัตราที่ไม่สูงมากนัก (ขยายตัวร้อยละ 1.5) ขณะที่ GDP ของประเทศเศรษฐกิจสำคัญอื่นในภูมิภาค อาทิ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ขยายตัวที่ร้อยละ 4.2 4.7 7.5 2.6 และ 4.0 ตามลำดับ และ รายได้ต่อหัวของอินโดนีเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ขยายตัวที่ร้อยละ 3.2 4.2 6.5 1.2 และ 2.3 ตามลำดับ
ทั้งนี้ ธนาคารโลกได้คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลก ปี 2566 ว่าจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากปีก่อน มาอยู่ที่ร้อยละ 2.1 (จากร้อยละ 3.1 ในปี 2565) และจะยังคงขยายตัวในอัตราที่ไม่เร่งตัวมากนักที่ร้อยละ 2.4 ในปี 2567 และร้อยละ 3.0 ในปี 2568 และคาดการณ์ว่า GDP ของไทยจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.9 ในปี 2566 หลังจากนั้นจะชะลอตัว ที่ร้อยละ 3.6 และ 3.4 ในปี 2567 และปี 2568 ตามลำดับ ขณะที่คาดการณ์ว่า GDP ของอินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ในปี 2566 จะขยายตัวที่ร้อยละ 4.9 6.0 4.3 และ 6.0 ตามลำดับ
เมื่อเปรียบเทียบกับเขตเศรษฐกิจอื่นทั่วโลก ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยอยู่ในระดับปานกลาง (อันดับที่ 30) และมีการพัฒนาอันดับดีขึ้นกว่าปีก่อนหน้า 3 อันดับ ด้านการค้าสินค้าระหว่างประเทศ ในส่วนการส่งออก แม้มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยขยายตัวร้อยละ 6 จากปีก่อนหน้า แต่ยังขยายตัวในอัตราที่น้อยกว่าการส่งออกของทั้งโลก (ร้อยละ 11) อีกทั้งอันดับผู้ส่งออกสินค้าโลก เลื่อนลง 1 อันดับ ขณะที่ส่วนการนำเข้า มูลค่าการนำเข้าสินค้าของไทย ขยายตัวร้อยละ 14 มากกว่าการนำเข้าของทั้งโลก (ร้อยละ 13) แต่อันดับผู้นำเข้าสินค้าโลกไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อนหน้า นอกจากนี้ ในปี 2565 ไทยได้รับเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI Inflows) น้อยกว่าประเทศเศรษฐกิจสำคัญอื่น ในภูมิภาคอาเซียน ยกเว้นฟิลิปปินส์ โดยเม็ดเงินลงทุนในไทยลดลงจากปีก่อนหน้า