ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย ประจำเดือนมีนาคม 2566
วันที่ 26 เมษายน 2566 เวลา 11.00 น. นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงข่าวภาวะการค้าระหว่างประเทศ–การค้าชายแดนและผ่านแดน เดือนมีนาคม 2566 และไตรมาสแรกของปี 2566 พร้อมด้วย นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ที่ห้องกิติยากรวรลักษณ์ ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์
การส่งออกของไทยในเดือนมีนาคม 2566 มีมูลค่า 27,654.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (942,939 ล้านบาท) หดตัวร้อยละ 4.2 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 0.01 โดยการส่งออกเดือนนี้หดตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ ทำมูลค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี (23,904.9 ล้านเหรียญสหรัฐ) และมีมูลค่าสูงสุดในรอบ 12 เดือน การส่งออกในภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงถือได้ว่าทำได้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญหลายรายการ มีสัญญาณที่ดีจากการกลับมาเป็นบวกในตลาดที่มีสัดส่วนสำคัญต่อการส่งออกของไทย อาทิ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย อีกทั้งยังกลับมาเกินดุลการค้าในรอบ 12 เดือน อย่างไรก็ตามภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนจากภาวะเงินเฟ้อ ที่แม้จะผ่อนคลายลงแต่ยังคงทรงตัวในระดับสูง นอกจากนี้การเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมายังคงส่งผลกระทบต่อภาคธนาคาร ภาคธุรกิจ และกำลังซื้อของประชาชน ขณะที่การย่อตัวลงของราคาน้ำมันตามอุปสงค์ตลาดโลกที่ชะลอตัว ได้ส่งผลให้การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันหดตัวลงต่อเนื่อง ทั้งนี้ การส่งออกไทย ไตรมาสแรก หดตัวร้อยละ 4.5 และเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย หดตัวร้อยละ 0.9
มูลค่าการค้ารวม
- มูลค่าการค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนมีนาคม 2566
การส่งออก มีมูลค่า 27,654.4 ล้านเหรียญสหรัฐหดตัวร้อยละ 4.2 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
การนำเข้า มีมูลค่า 24,935.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 7.1
ดุลการค้า เกินดุล 2,718.8 ล้านเหรียญสหรัฐภาพรวม ไตรมาสแรกของปี 2566
การส่งออก มีมูลค่า 70,280.1 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 4.5 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
การนำเข้า มีมูลค่า 73,324.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 0.5
ดุลการค้า ไตรมาสแรกของปี 2566 ขาดดุล 3,044.2 ล้านเหรียญสหรัฐ
- มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนมีนาคม 2566
การส่งออก มีมูลค่า 942,939 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 2.2 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
การนำเข้า มีมูลค่า 860,535 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 1.0
ดุลการค้า เกินดุล 82,403 ล้านบาทภาพรวม ไตรมาสแรกของปี 2566
การส่งออก มีมูลค่า 2,373,189 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 1.1 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
การนำเข้า มีมูลค่า 2,508,390 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 2.9
ดุลการค้า ไตรมาสแรกของปี 2566 ขาดดุล 135,201 ล้านบาท
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 4.2 (YoY) ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน โดยเป็นการขยายตัวทั้งหมวดสินค้าเกษตร ขยายตัวร้อยละ 1.2 และหมวดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 7.1 โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย ขยายตัวร้อยละ 73.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ มาเลเซีย และลิเบีย) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ขยายตัวร้อยละ 5.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ) ข้าว ขยายตัวร้อยละ 7.2 ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (ขยายตัวในตลาดอิรัก แอฟริกาใต้ แองโกลา เซเนกัล และแทนซาเนีย) ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ขยายตัวร้อยละ 94.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 5 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ อินโดนีเซีย ฮ่องกง และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ ขยายตัวร้อยละ 6.2 ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (ขยายตัวในตลาดอินเดีย เมียนมา เกาหลีใต้ กัมพูชา และจีน) เครื่องดื่ม ขยายตัวร้อยละ 13.2 ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (ขยายตัวในตลาดเวียดนาม จีน ลาว มาเลเซีย และอินโดนีเซีย) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง ขยายตัวร้อยละ 47.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 10 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย เกาหลีใต้ และสิงคโปร์)
ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ยางพารา หดตัวร้อยละ 41.1 หดตัวต่อเนื่อง 8 เดือน (หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ แต่ขยายตัวในตลาดโรมาเนีย และสหราชอาณาจักร) อาหารสัตว์เลี้ยง หดตัวร้อยละ 25.0 หดตัวต่อเนื่อง 5 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย ออสเตรเลีย และอิตาลี แต่ขยายตัวในตลาดฟิลิปปินส์ ลาว กัมพูชา บังกลาเทศ และรัสเซีย) ผลไม้กระป๋องและแปรรูป หดตัวร้อยละ 17.8 หดตัวต่อเนื่อง 6 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย และมาเลเซีย แต่ขยายตัวในตลาดจีน กัมพูชา ไต้หวัน ลาว และเมียนมา) ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2566 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 1.9
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 5.9 (YoY) หดตัวต่อเนื่อง 6 เดือน แม้ว่าการส่งออกภาพรวมของหมวดหดตัว แต่ยังมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 1.4 ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และสหรัฐฯ) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 16.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ อิตาลี ฝรั่งเศส อินเดีย และอินโดนีเซีย) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ขยายตัวร้อยละ 66.4 ขยายตัวต่อเนื่อง 9 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม อินเดีย แคนาดา และจีน) เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 27.4 ขยายตัวต่อเนื่อง 17 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เม็กซิโก ฮ่องกง และแคนาดา) รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 5.0 ขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 55.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 17 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น เยอรมนี และมาเลเซีย)
ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน หดตัวร้อยละ 14.2 หดตัวต่อเนื่อง 8 เดือน (หดตัวในตลาดจีน เวียดนาม กัมพูชา อินเดีย และญี่ปุ่น แต่ขยายตัวในตลาดลาว สิงคโปร์ เนเธอร์แลนด์ และอียิปต์) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 6.0 หดตัวต่อเนื่อง 6 เดือน (หดตัวในตลาดฮ่องกง จีน เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี และไต้หวัน แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ สิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น และเม็กซิโก) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 13.7 หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น จีน อินโดนีเซีย เวียดนาม และสิงคโปร์ แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ อินเดีย มาเลเซีย ออสเตรเลีย และเนเธอร์แลนด์) อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) หดตัวร้อยละ 3.5 กลับมาหดตัวอีกครั้ง (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ อินเดีย เยอรมนี สหราชอาณาจักร และสวิตเซอร์แลนด์ แต่ขยายตัวในตลาดฮ่องกง ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไต้หวัน และสิงคโปร์) ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2566 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 5.8
ตลาดส่งออกสำคัญ
การส่งออกไปยังตลาดสำคัญส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้น โดยหดตัวน้อยลงในหลายตลาด อาทิ จีน อาเซียน (5) และ CLMV และบางตลาดสำคัญเริ่มกลับมาขยายตัว อาทิ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และรัสเซียและกลุ่ม CIS สะท้อนว่าอุปสงค์จากประเทศคู่ค้าที่เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น แม้ว่าจะยังอยู่ในทิศทางชะลอตัว ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้ (1) ตลาดหลัก หดตัวร้อยละ 0.8 หดตัวในตลาดจีน ร้อยละ 3.9 CLMV ร้อยละ 3.5 อาเซียน (5) ร้อยละ 2.1 และสหภาพยุโรป (27) ร้อยละ 7.3 ขณะที่สหรัฐฯ และญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 1.7 และร้อยละ 10.2 ตามลำดับ (2) ตลาดรอง หดตัวร้อยละ 3.4 โดยหดตัวในตลาดเอเชียใต้ ร้อยละ 6.9 ทวีปออสเตรเลีย ร้อยละ 23.3 แต่ขยายตัวในตลาดรัสเซียและกลุ่ม CIS ร้อยละ 228.0 ตะวันออกกลาง ร้อยละ 3.0 แอฟริกา ร้อยละ 2.1 ลาตินอเมริกา ร้อยละ 5.9 และสหราชอาณาจักร ร้อยละ 5.8 (3) ตลาดอื่น ๆ หดตัวร้อยละ 39.5 อาทิ สวิตเซอร์แลนด์ หดตัวร้อยละ 43.5
ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 1.7 (กลับมาขยายตัวในรอบ 4 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ และผลิตภัณฑ์พลาสติก เป็นต้น ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 3.9
ตลาดจีน หดตัวร้อยละ 3.9 (หดตัวต่อเนื่อง 10 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ผลิตภัณฑ์ยาง และไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง เป็นต้น ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 7.4
ตลาดญี่ปุ่น ขยายตัวร้อยละ 10.2 (กลับมาขยายตัวในรอบ 7 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อาวุธ กระสุน รวมทั้งส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ทองแดง และไก่แปรรูป เป็นต้น ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 0.2
ตลาดอาเซียน (5) หดตัวร้อยละ 2.1 (หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเม็ดพลาสติก เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 2.2
ตลาด CLMV หดตัวร้อยละ 3.5 (หดตัวต่อเนื่อง 5 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ และน้ำตาลทราย เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด เป็นต้น ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 6.3
ตลาดสหภาพยุโรป (27) หดตัวร้อยละ 7.3 (กลับมาหดตัวในรอบ 3 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ อากาศยาน ยานอวกาศ และส่วนประกอบ ยางพารา และอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ และแผงวงจรไฟฟ้า เป็นต้น ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 2.2
ตลาดเอเชียใต้ หดตัวร้อยละ 6.9 (หดตัวต่อเนื่อง 8 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เป็นต้น ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 7.0
ตลาดทวีปออสเตรเลีย หดตัวร้อยละ 23.3 (หดตัวต่อเนื่อง 5 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ น้ำตาลทราย และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 14.2
ตลาดตะวันออกกลาง ขยายตัวร้อยละ 3.0 (ขยายตัวต่อเนื่อง 14 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และข้าว เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ และส่วนประกอบ และยางพารา เป็นต้น ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2566 ขยายตัวร้อยละ 15.2
ตลาดแอฟริกา ขยายตัวร้อยละ 2.1 (ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย เคมีภัณฑ์ และข้าว เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องยนต์สันดาปภายใน และไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เป็นต้น ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2566 ขยายตัวร้อยละ 8.8
ตลาดลาตินอเมริกา กลับมาขยายตัวร้อยละ 5.9 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ และส่วนประกอบ และเครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เครื่องยนต์สันดาปภายใน ยางพารา และเครื่องซักผ้าและเครื่องซักแห้งและส่วนประกอบ เป็นต้น ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2566 ขยายตัวร้อยละ 1.1
ตลาดรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS ขยายตัวร้อยละ 228.0 (กลับมาขยายตัวในรอบ 13 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ และอากาศยาน ยานอวกาศ และส่วนประกอบ เป็นต้น ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2566 ขยายตัวร้อยละ 0.9
ตลาดสหราชอาณาจักร กลับมาขยายตัวร้อยละ 5.8 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ และข้าว เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ และไก่แปรรูป เป็นต้น ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2566 ขยายตัวร้อยละ 2.8
การส่งเสริมการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ และแนวโน้มการส่งออกระยะถัดไป
การส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการเชิงรุกและลึก เพื่อผลักดันและอำนวยความสะดวกการส่งออก โดยการดำเนินงานที่สำคัญในรอบเดือนที่ผ่านมา อาทิ (1) การดำเนินงานตามมาตรการบริหารจัดการผลไม้เชิงรุก ปี 2566 เพื่อรับมือกับผลไม้ที่จะออกสู่ตลาด 6.78 ล้านตัน โดยแบ่งแผนงานออกเป็น 4 ด้าน คือ แผนการผลิต แผนการตลาดในประเทศ แผนการตลาดต่างประเทศ และแผนดูแลด้านกฎหมาย ผ่าน 22 มาตรการเชิงรุก เช่น การดูแลมาตรฐานสินค้าเพื่อการส่งออก การช่วยเหลือดอกเบี้ยและเงินช่วยเหลือแก่ผู้ส่งออกผลไม้ การเจรจาและจับคู่ซื้อขายทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ รวมไปถึงการจัดงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ เป็นต้น โดยตั้งเป้าส่งออกผลไม้ปีนี้ไว้ที่ 4.4 ล้านตัน (2) การอำนวยความสะดวกส่งสินค้าผ่านแดนไปยังจีน โดยคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ได้เดินทางไปสำรวจด่านรถไฟโม่ฮาน และได้หารือกับผู้บริหารด่านศุลกากร เพื่อขอให้ช่วยอำนวยความสะดวกในการส่งออกผลไม้ไทยเข้าสู่ตลาดจีน รองรับฤดูกาลผลิตผลไม้ไทยปี 2566 ที่กำลังจะออกสู่ตลาด พร้อมตรวจสอบพื้นที่ลานตรวจสอบจำเพาะของสินค้าผลไม้ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการขนส่งในฤดูผลไม้ของไทยผ่านด่านสำคัญของจีน (3) โครงการพัฒนาผู้ส่งออกรุ่นใหม่ : Young Exporter from Local to Global (YELG) ประจำปี 2566 ให้ความสำคัญกับการสร้างความพร้อมและพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ในภูมิภาคให้สามารถก้าวสู่ตลาดโลกอย่างมั่นคง โดยอบรมความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการส่งออกให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อยของไทย
แนวโน้มการส่งออกในระยะถัดไป กระทรวงพาณิชย์ ประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะชะลอตัว เนื่องจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ ทั้งจากอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยในแต่ละภูมิภาคของโลกยังอยู่ในระดับสูง ภาวะวิกฤตของสถาบันการเงินยังเป็นปัจจัยบั่นทอนต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ รวมไปถึงความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อผันผวนของราคาพลังงาน อย่างไรก็ตาม จากการดำเนินงานของกระทรวงพาณิชย์ในไตรมาสแรกของปี 2566 ทั้งการรื้อฟื้นความสัมพันธ์และการเปิดตลาดใหม่ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และการทำความตกลงทางการค้าในระดับท้องถิ่นกับตลาดศักยภาพในจีน เกาหลีใต้ และอินเดีย ช่วยสนับสนุนการนำรายได้เข้าสู่ประเทศ และคาดว่าจะช่วยประคับประคองการส่งออกของไทยให้ผ่านพ้นภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกได้
ติดตามเพิ่มเติมได้ที่: https://tpso.netlify.app/document/2305-0000000066