พาณิชย์ประเมินสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนกระทบไทยโดยตรงไม่มากนักแต่ควรเร่งหาตลาดใหม่กระจายความเสี่ยง

พาณิชย์ประเมินสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนกระทบไทยโดยตรงไม่มากนักแต่ควรเร่งหาตลาดใหม่กระจายความเสี่ยง

avatar

Administrator


96


<p><strong>พาณิชย์ประเมินสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนกระทบไทยโดยตรงไม่มากนักแต่ควรเร่งหาตลาดใหม่กระจายความเสี่ยง</strong>&nbsp;</p>

<p>&nbsp;</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2561 นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กล่าวถึงสถานการณ์การตอบโต้ทางการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ และจีนล่าสุด โดยสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีเข้าสินค้าจีนจำนวน 1,102 รายการ มุ่งสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับนโยบาย Made in China 2025 และจีนตอบโต้มาตรการดังกล่าวในทันทีด้วยการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ จำนวน 649 รายการ พุ่งเป้าสินค้าสำคัญที่มีนัยยะทางการเมือง กลุ่มการเกษตร ยานยนต์ และสินค้าประมง โดยมาตรการของทั้งสองประเทศมีมูลค่าการค้าใกล้เคียงกันประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ</p>

<p>การขึ้นภาษีของสหรัฐฯและจีนครั้งนี้ แบ่งเป็นสินค้า 2 กลุ่ม คือ&nbsp;<u>สินค้ากลุ่มที่ 1</u>&nbsp;ฝั่งสหรัฐฯ 818 รายการ และฝั่งจีน 545 รายการ มีอัตราการเก็บภาษีเพิ่มร้อยละ 25 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ</p>

<p>มีผลบังคับใช้พร้อมกันวันที่ 6 กค. 61 และ<u>สินค้ากลุ่มที่ 2</u>&nbsp;ฝั่งสหรัฐฯ 284 รายการ และฝั่งจีน 114 รายการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ สหรัฐฯ ยังอยู่ในกระบวนการทำประชาพิจารณ์ (public hearing) ก่อนที่ USTR จะประกาศรายการสินค้าและมาตรการที่จะใช้ต่อไป (ยังไม่กำหนดวันที่ชัดเจน)</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มาตรการโต้ตอบระหว่างสหรัฐฯ และจีนซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ 2 อันดับแรกของโลกนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการค้าโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และบั่นทอนบรรยากาศการค้าการลงทุนโลก&nbsp;<u><strong>ในระยะสั้น</strong></u>&nbsp;ตลาดเงินและตลาดทุนมีแนวโน้มผันผวนจากความกังวลต่อสถานการณ์และความไม่แน่นอนด้านนโยบายของทั้งสองประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อการค้าการลงทุนด้วย โดยอาจมีการชะงักงันในการสั่งซื้อสินค้า และผู้ส่งออกในจีนและสหรัฐฯ อาจเริ่มมองหาตลาดอื่นทดแทน อย่างไรก็ตาม&nbsp;<strong><u>สนค. ยังไม่พบการส่งออกสินค้าที่เข้าข่ายถูกขึ้นภาษีระหว่างกันทะลักเข้ามาไทยสูงขึ้นกว่าปกติ&nbsp;</u>ซึ่งหากมีสัญญาณผิดปกติ กระทรวงพาณิชย์ก็มีมาตรการต่าง ๆ ที่ดำเนินการได้ทันทีอยู่แล้ว</strong></p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ แม้ว่าสถานการณ์อาจมียังคงตึงเครียดระยะ 2 &ndash; 3 เดือนข้างหน้า แต่ในที่สุดแล้ว ทั้งสองฝ่ายอาจมีท่าทีผ่อนคลายข้อกีดกันทางการค้าลง หากประชาชน เกษตรกร หรือภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในฝั่งสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากสินค้าขึ้นราคา/ต้นทุนสูงขึ้น เพราะจีนได้คัดเลือกกลุ่มสินค้าเป้าหมายที่เป็นฐานเสียงโดยตรงของประธานาธิบดีทรัมป์ จึงอาจถูกกดดันให้ทบทวนมาตรการขึ้นภาษีก็เป็นได้</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;<u><strong>ในระยะยาว</strong></u>&nbsp;สนค. ประเมินว่าสงครามทางการค้าในครั้งนี้อาจทำให้เกิดการปรับรูปแบบและโครงสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ (Trade Realignment) โดยกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบมีแรงจูงใจแสวงหาพันธมิตรทางการค้าใหม่ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงและรักษาเสถียรภาพการค้าในระยะยาว</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;สำหรับผลกระทบต่อการค้าไทยนั้น&nbsp;<strong>ผอ.สนค. กล่าวว่า จากการคำนวณตัวเลข scenario ทั้งเชิงรุก/เชิงรับของการส่งออกไทย พบว่า โดยรวมแล้วไทยยังจะได้ประโยชน์จากการที่อาจส่งสินค้าไปขายทดแทนได้บางประเภท แต่มูลค่าไม่มากนัก ประมาณ 1000 ล้านเหรียญฯ หรือประมาณร้อยละ 0.42 ของมูลค่าการส่งออกปี 2560 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเองก็จำเป็นต้องกำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ที่สร้างพันธมิตรทางการค้าการลงทุนกับประเทศอื่น ๆ ให้มากและเร็วขึ้น โดยเฉพาะต้องเร่งเปิดตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงการส่งออก เปิดการเจรจาทางการค้าและกระชับมิตรกับประเทศใหม่ ๆ มากขึ้น ซึ่งการเยือนยุโรปของคณะนายกรัฐมนตรีก็ถือส่วนหนึ่งของการดำเนินการยุทธศาสตร์ใหม่ดังกล่าว</strong>&nbsp;</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;<strong>ส่วนสถานการณ์ค่าเงินบาทที่เริ่มอ่อนค่าลง</strong>และมีความเป็นไปได้ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 1-2 ในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งจะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงไปต่อเนื่อง สนค. มองว่า&nbsp;<strong>นับเป็นโอกาสดีต่อผู้ส่งออกในการเร่งผลักดันส่งออกสินค้าและรายได้การส่งออกในรูปเงินบาทสูงขึ้น</strong>&nbsp;อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกจำเป็นต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ความไม่แน่นอนของสงครามการค้าอย่างใกล้ชิด โดย สนค. จะติดตามสถานการณ์และความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ทั้งฝั่งสหรัฐฯและจีน&nbsp;</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;แม้ว่าในภาพรวม ขณะนี้ไทยจะยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง นอกจากเรื่องตลาดทุนตลาดเงินที่มีความผันผวนสูง แต่เพื่อเป็นการเตรียมรับมือกับสงครามการค้า สนค. จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมาหารือกันโดยเร็วต่อไป</p>

<p style="text-align:right">สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า<br />
19 มิถุนายน 2561</p>

<p>ดาวน์โหลดไฟล์&nbsp;<a href="http://www.tpso.moc.go.th/sites/default/files/press_release_19.06.61_tradewar_rev3.pdf">คลิกที่นี่</a></p>

<p><a href="http://uploads.tpso.go.th/press_release_19.06.61_tradewar_rev3_1.pdf" target="_blank">press_release_19.06.61_tradewar_rev3_1.pdf</a></p>

<p>&nbsp;</p>

<p>&nbsp;</p>

พาณิชย์ประเมินสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนกระทบไทยโดยตรงไม่มากนักแต่ควรเร่งหาตลาดใหม่กระจายความเสี่ยง 

 

                    เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2561 นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กล่าวถึงสถานการณ์การตอบโต้ทางการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ และจีนล่าสุด โดยสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีเข้าสินค้าจีนจำนวน 1,102 รายการ มุ่งสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับนโยบาย Made in China 2025 และจีนตอบโต้มาตรการดังกล่าวในทันทีด้วยการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ จำนวน 649 รายการ พุ่งเป้าสินค้าสำคัญที่มีนัยยะทางการเมือง กลุ่มการเกษตร ยานยนต์ และสินค้าประมง โดยมาตรการของทั้งสองประเทศมีมูลค่าการค้าใกล้เคียงกันประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

การขึ้นภาษีของสหรัฐฯและจีนครั้งนี้ แบ่งเป็นสินค้า 2 กลุ่ม คือ สินค้ากลุ่มที่ 1 ฝั่งสหรัฐฯ 818 รายการ และฝั่งจีน 545 รายการ มีอัตราการเก็บภาษีเพิ่มร้อยละ 25 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

มีผลบังคับใช้พร้อมกันวันที่ 6 กค. 61 และสินค้ากลุ่มที่ 2 ฝั่งสหรัฐฯ 284 รายการ และฝั่งจีน 114 รายการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ สหรัฐฯ ยังอยู่ในกระบวนการทำประชาพิจารณ์ (public hearing) ก่อนที่ USTR จะประกาศรายการสินค้าและมาตรการที่จะใช้ต่อไป (ยังไม่กำหนดวันที่ชัดเจน)

                    ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มาตรการโต้ตอบระหว่างสหรัฐฯ และจีนซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ 2 อันดับแรกของโลกนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการค้าโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และบั่นทอนบรรยากาศการค้าการลงทุนโลก ในระยะสั้น ตลาดเงินและตลาดทุนมีแนวโน้มผันผวนจากความกังวลต่อสถานการณ์และความไม่แน่นอนด้านนโยบายของทั้งสองประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อการค้าการลงทุนด้วย โดยอาจมีการชะงักงันในการสั่งซื้อสินค้า และผู้ส่งออกในจีนและสหรัฐฯ อาจเริ่มมองหาตลาดอื่นทดแทน อย่างไรก็ตาม สนค. ยังไม่พบการส่งออกสินค้าที่เข้าข่ายถูกขึ้นภาษีระหว่างกันทะลักเข้ามาไทยสูงขึ้นกว่าปกติ ซึ่งหากมีสัญญาณผิดปกติ กระทรวงพาณิชย์ก็มีมาตรการต่าง ๆ ที่ดำเนินการได้ทันทีอยู่แล้ว

                    ทั้งนี้ แม้ว่าสถานการณ์อาจมียังคงตึงเครียดระยะ 2 – 3 เดือนข้างหน้า แต่ในที่สุดแล้ว ทั้งสองฝ่ายอาจมีท่าทีผ่อนคลายข้อกีดกันทางการค้าลง หากประชาชน เกษตรกร หรือภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในฝั่งสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากสินค้าขึ้นราคา/ต้นทุนสูงขึ้น เพราะจีนได้คัดเลือกกลุ่มสินค้าเป้าหมายที่เป็นฐานเสียงโดยตรงของประธานาธิบดีทรัมป์ จึงอาจถูกกดดันให้ทบทวนมาตรการขึ้นภาษีก็เป็นได้

                    ในระยะยาว สนค. ประเมินว่าสงครามทางการค้าในครั้งนี้อาจทำให้เกิดการปรับรูปแบบและโครงสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ (Trade Realignment) โดยกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบมีแรงจูงใจแสวงหาพันธมิตรทางการค้าใหม่ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงและรักษาเสถียรภาพการค้าในระยะยาว

                    สำหรับผลกระทบต่อการค้าไทยนั้น ผอ.สนค. กล่าวว่า จากการคำนวณตัวเลข scenario ทั้งเชิงรุก/เชิงรับของการส่งออกไทย พบว่า โดยรวมแล้วไทยยังจะได้ประโยชน์จากการที่อาจส่งสินค้าไปขายทดแทนได้บางประเภท แต่มูลค่าไม่มากนัก ประมาณ 1000 ล้านเหรียญฯ หรือประมาณร้อยละ 0.42 ของมูลค่าการส่งออกปี 2560 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเองก็จำเป็นต้องกำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ที่สร้างพันธมิตรทางการค้าการลงทุนกับประเทศอื่น ๆ ให้มากและเร็วขึ้น โดยเฉพาะต้องเร่งเปิดตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงการส่งออก เปิดการเจรจาทางการค้าและกระชับมิตรกับประเทศใหม่ ๆ มากขึ้น ซึ่งการเยือนยุโรปของคณะนายกรัฐมนตรีก็ถือส่วนหนึ่งของการดำเนินการยุทธศาสตร์ใหม่ดังกล่าว 

                    ส่วนสถานการณ์ค่าเงินบาทที่เริ่มอ่อนค่าลงและมีความเป็นไปได้ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 1-2 ในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งจะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงไปต่อเนื่อง สนค. มองว่า นับเป็นโอกาสดีต่อผู้ส่งออกในการเร่งผลักดันส่งออกสินค้าและรายได้การส่งออกในรูปเงินบาทสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกจำเป็นต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ความไม่แน่นอนของสงครามการค้าอย่างใกล้ชิด โดย สนค. จะติดตามสถานการณ์และความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ทั้งฝั่งสหรัฐฯและจีน 

                    แม้ว่าในภาพรวม ขณะนี้ไทยจะยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง นอกจากเรื่องตลาดทุนตลาดเงินที่มีความผันผวนสูง แต่เพื่อเป็นการเตรียมรับมือกับสงครามการค้า สนค. จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมาหารือกันโดยเร็วต่อไป

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า
19 มิถุนายน 2561

ดาวน์โหลดไฟล์ คลิกที่นี่

 

 

เผยแพร่เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2561