พาณิชย์เตรียมนำ Blockchain มาใช้ช่วยเกษตรกรและปรับปรุงการจดทะเบียน

พาณิชย์เตรียมนำ Blockchain มาใช้ช่วยเกษตรกรและปรับปรุงการจดทะเบียน

avatar

Administrator


111


<p><strong>พาณิชย์เตรียมนำ Blockchain มาใช้ช่วยเกษตรกรและปรับปรุงการจดทะเบียน</strong></p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้จัดให้มี Workshop เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ของข้าราชการและเอกชนไทยเกี่ยวกับเทคโนโลยี Blockchain ที่เข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อเศรษฐกิจยุคใหม่ปัจจุบัน (New Economy)&nbsp;</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถนำมาใช้ในการค้าอย่างหลากหลาย อาทิ การทำกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) การยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital ID) การบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (IP) เชิงพาณิชย์ การเงินเพื่อการค้าระหว่างประเทศ (Trade Finance) เป็นต้น ซึ่งหลายอย่างเกี่ยวข้องกับงานที่พาณิชย์รับผิดชอบ</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;นางสาวพิมพ์ชนกกล่าวเพิ่มเติมว่า สนค. เล็งเห็นความเป็นไปได้ในการนำบล็อกเชนมาช่วยยกระดับภาคเกษตร และการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ จึงได้ขอการสนับสนุนจากสถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทย เพื่อจัดทำโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำ Blockchain มาใช้ในภาคธุรกิจของประเทศไทย 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Blockchain เพื่อช่วยเรื่องการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา และ โครงการ Blockchain for trade finance เพื่อปรับปรุงกระบวนการชำระเงินของผู้ประกอบการในการส่งออก อันจะช่วยสร้างโอกาสทางการค้าแก่ผู้ประกอบการ ลดขั้นตอนการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐในอนาคต</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;นอกจากสองโครงการข้างต้น สนค. กำลังหารือกับกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่เพื่อทำ sandbox หรือกระบวนการทดลองนำบล็อกเชนมาใช้ในการค้าข้าวอินทรีย์ โดยเน้นการทำกระบวนการตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับ (traceability) ปกติกระบวนการตรวจรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์ และการขออนุญาตส่งออกข้าวจะใช้เวลานาน 15-20 วัน เพราะเอกสารซับซ้อน ต้องประสานกับหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน หากนำบล็อกเชนมาใช้ จะสามารถลดจำนวนเวลาได้เหลือไม่เกิน 3 วัน และช่วยเพิ่มความโปร่งใส ลดต้นทุนเกษตรกร ลดเวลา และเพิ่มความน่าเชื่อถือหรือไว้ใจ (trust) ให้กับผู้นำเข้าข้าวอินทรีย์ของไทยในต่างประเทศ</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&ldquo;ดิฉันเชื่อว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่หลายอย่าง เช่น บล็อกเชน จะสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ตลอดจนเกษตรกรรายย่อย ที่เป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ รวมทั้งจะพัฒนาเศรษฐกิจการค้าท้องถิ่นให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน สนค. เชื่อมั่นว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่จะช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจไทยได้อย่างแน่นอน&rdquo;&nbsp; นางสาวพิมพ์ชนกกล่าว</p>

<p>&nbsp;</p>

พาณิชย์เตรียมนำ Blockchain มาใช้ช่วยเกษตรกรและปรับปรุงการจดทะเบียน

                   นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้จัดให้มี Workshop เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ของข้าราชการและเอกชนไทยเกี่ยวกับเทคโนโลยี Blockchain ที่เข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อเศรษฐกิจยุคใหม่ปัจจุบัน (New Economy) 

                   ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถนำมาใช้ในการค้าอย่างหลากหลาย อาทิ การทำกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) การยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital ID) การบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (IP) เชิงพาณิชย์ การเงินเพื่อการค้าระหว่างประเทศ (Trade Finance) เป็นต้น ซึ่งหลายอย่างเกี่ยวข้องกับงานที่พาณิชย์รับผิดชอบ

                   นางสาวพิมพ์ชนกกล่าวเพิ่มเติมว่า สนค. เล็งเห็นความเป็นไปได้ในการนำบล็อกเชนมาช่วยยกระดับภาคเกษตร และการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ จึงได้ขอการสนับสนุนจากสถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทย เพื่อจัดทำโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำ Blockchain มาใช้ในภาคธุรกิจของประเทศไทย 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Blockchain เพื่อช่วยเรื่องการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา และ โครงการ Blockchain for trade finance เพื่อปรับปรุงกระบวนการชำระเงินของผู้ประกอบการในการส่งออก อันจะช่วยสร้างโอกาสทางการค้าแก่ผู้ประกอบการ ลดขั้นตอนการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐในอนาคต

                   นอกจากสองโครงการข้างต้น สนค. กำลังหารือกับกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่เพื่อทำ sandbox หรือกระบวนการทดลองนำบล็อกเชนมาใช้ในการค้าข้าวอินทรีย์ โดยเน้นการทำกระบวนการตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับ (traceability) ปกติกระบวนการตรวจรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์ และการขออนุญาตส่งออกข้าวจะใช้เวลานาน 15-20 วัน เพราะเอกสารซับซ้อน ต้องประสานกับหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน หากนำบล็อกเชนมาใช้ จะสามารถลดจำนวนเวลาได้เหลือไม่เกิน 3 วัน และช่วยเพิ่มความโปร่งใส ลดต้นทุนเกษตรกร ลดเวลา และเพิ่มความน่าเชื่อถือหรือไว้ใจ (trust) ให้กับผู้นำเข้าข้าวอินทรีย์ของไทยในต่างประเทศ

                   “ดิฉันเชื่อว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่หลายอย่าง เช่น บล็อกเชน จะสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ตลอดจนเกษตรกรรายย่อย ที่เป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ รวมทั้งจะพัฒนาเศรษฐกิจการค้าท้องถิ่นให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน สนค. เชื่อมั่นว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่จะช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจไทยได้อย่างแน่นอน”  นางสาวพิมพ์ชนกกล่าว

 

เผยแพร่เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2561