สนค. คาดว่าการส่งออกไทยจะกลับมาขยายตัวในปี 2563

สนค. คาดว่าการส่งออกไทยจะกลับมาขยายตัวในปี 2563

avatar

Administrator


98


<p><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวถึงแนวโน้มการส่งออกว่า สนค. ประเมินการส่งออกไทยจะกลับมาขยายตัวในปี 2563&nbsp;</strong>โดยการส่งออกล่าสุดเดือน ธ.ค. 62 หดตัวร้อยละ 1.3 แต่หากหักน้ำมันและทองคำ จะขยายตัวที่ร้อยละ 1.2 เป็นสัญญาณดีว่าการส่งออกไทยเริ่มฟื้นตัวและมีทิศทางที่ดีในปี 2563&nbsp;<strong>มีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ</strong>&nbsp;คือ&nbsp;<strong>(1) เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว</strong>&nbsp;โดย&nbsp;<strong>IMF คาดการณ์ว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.3 ใน ปี 2563</strong>&nbsp;(จากร้อยละ 2.9 ในปี 2562)&nbsp;<strong>และเห็นสัญญาณว่าการค้าโลกกำลังผ่านจุดต่ำสุด</strong>จากกิจกรรมการผลิตในหลายสาขา&nbsp;&nbsp;<strong>(2) ท่าทีความพร้อมในการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย</strong>ของหลายประเทศเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ อาทิ สหรัฐ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น (<strong>3) ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มฟื้นตัว</strong>ตามเศรษฐกิจโลกและ<strong>ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น (4) สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่เริ่มผ่อนคลาย</strong>จากการลงนามข้อตกลงทางการค้าระยะแรก (Phase-1 Deal) (<strong>5) สถานการณ์ Brexit มีความชัดเจน</strong>แล้ว และมีช่วงเปลี่ยนผ่านจนถึงสิ้นปี 2563 ซึ่งจะยังไม่ส่งกระทบต่อผู้ประกอบการไทย และ&nbsp;<strong>(6) ค่าเงินบาทเริ่มมีแนวโน้มอ่อนค่าลง</strong>&nbsp;โดยเดือน ม.ค. 2563 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 30.44 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. กลับมาอ่อนค่าในรอบ 9 เดือน</p>

<p>&nbsp;</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ<strong>ประเด็นการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา</strong>ในประเทศจีนนั้น&nbsp;<strong>สนค. คาดว่า ยังไม่น่ากระทบต่อการส่งออกไทยในระยะสั้น</strong>&nbsp;<strong>โดยเฉพาะกลุ่มอาหาร</strong>ที่มีมูลค่าสูงในตลาดจีน เพราะมี<strong>อุปสงค์ซื้อสินค้าอาหารไทยที่มีความปลอดภัยและคุณภาพดีอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด</strong>&nbsp;ไม่ให้มีการชะงักของการค้าในภูมิภาค</p>

<p>&nbsp;</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สำหรับ<strong>ประเด็นสินค้าส่งออก 573 รายการ ถูกระงับสิทธิ&nbsp;</strong><strong>GSP โดยสหรัฐฯ</strong>&nbsp;นั้น&nbsp;<strong>นางสาวพิมพ์ชนก ยืนยันว่ากระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่และเตรียมมาตรการรองรับในทุกกรณีอย่างรัดกุม</strong>เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ส่งออกน้อยที่สุด โดย<strong>กรมการค้าต่างประเทศมีแผนรองรับสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ&nbsp;</strong>และในด้านการรักษาตลาด<strong>&nbsp;กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมีแผนจัดกิจกรรมนำคณะภาครัฐและเอกชนบุกตลาดเป้าหมายกว่า 18 ประเทศ ในปี 2563 ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์การตลาดสำคัญตามแนวนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์)&nbsp;</strong>เพื่อรักษาฐานเดิมและขยายตลาดใหม่ที่มีศักยภาพอย่างครอบคลุม และกระจายความเสี่ยงจากมาตรการการค้าของประเทศใดประเทศหนึ่ง แผนกิจกรรมสำคัญ อาทิ&nbsp;<strong>เอเชีย&nbsp;</strong>จีน ญี่ปุ่น อินเดีย บังคลาเทศ และ CLMV&nbsp;<strong>ยุโรป</strong>&nbsp;ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และรัสเซีย&nbsp;<strong>แอฟริกา</strong>&nbsp;แอฟริกาใต้&nbsp;<strong>ตะวันออกกลาง</strong>&nbsp;บาห์เรน และ<strong>ออสเตรเลีย</strong>&nbsp;ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์</p>

<p>&nbsp;</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;ในมุมมอง<strong>รายตลาด</strong>&nbsp;<strong>นางสาวพิมพ์ชนก ชี้แจงว่าตลาดส่งออกสำคัญต่างๆ มีการปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนในครึ่งปีหลังของปี 2562 อีกทั้งการส่งออกเดือน ธ.ค. 2562 ขยายตัวในหลายตลาด</strong>&nbsp;การส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ และจีน ขยายตัวร้อยละ 15.6 และ 7.3 ตามลำดับ ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 10 เดือน และ 18 เดือน ตามลำดับ นอกจากนี้ การส่งออกไปตลาดตะวันออกกลางและตลาดรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS ขยายตัวร้อยละ 11.4 และ 8.0 เป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 23 เดือน และ 16 เดือน ตามลำดับ รวมทั้งการส่งออกไปตลาด CLMV&nbsp; กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 8 เดือนที่ร้อยละ 1.1&nbsp;<strong>ซึ่งการส่งออกไปตลาดสำคัญที่ปรับตัวดีขึ้นสะท้อนถึงการส่งออกไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดว่าจะรักษาโมเมนตัมการฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในปี 2563</strong></p>

<p>&nbsp;</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; นอกจากนี้ จากการวิเคราะห์ของ&nbsp;<strong>สนค. พบว่า</strong>&nbsp;<strong>มีสินค้าส่งออกหลายรายการที่ควรเร่งผลักดันเพื่อให้การส่งออกไทยกลับมาขยายตัว ในปี 2563 โดยสินค้าไทยมากกว่า 30 รายการ ครอบคลุมทั้งสินค้าเกษตรและอาหาร และสินค้าอุตสาหกรรม</strong>&nbsp;(สัดส่วนประมาณร้อยละ 25 และขยายตัวมากกว่าร้อยละ 13) ทำ<strong>สถิติมูลค่าส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์</strong>ท่ามกลางการค้าโลกที่ชะลอตัวในปี 2562 และคาดว่า<strong>จะยังคงขยายตัวต่อเนื่องในปีนี้</strong>&nbsp;ซึ่งการที่ไทยสามารถส่งออกสินค้ากลุ่มนี้สูงสุดเป็นประวัติการ<strong>สะท้อนความสามารถในการปรับตัวและพัฒนาสินค้าของผู้ประกอบการไทยที่ตอบโจทย์</strong><strong>ตามความต้องการของตลาด สินค้าเกษตรและอาหาร</strong>&nbsp;อาทิ ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง นมและผลิตภัณฑ์นม ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ เครื่องดื่ม สิ่งปรุงรสอาหาร และอาหารสัตว์เลี้ยง&nbsp;<strong>สินค้าอุตสาหกรรม</strong>&nbsp;ได้แก่ เครื่องส่งวิทยุ โทรเลข โทรศัพท์ นาฬิกาและส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องสำอางสบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว&nbsp; ผ้าแบบสำหรับตัดเสื้อ และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร</p>

<p>&nbsp;</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;<strong>ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กล่าวทิ้งท้ายว่า&nbsp;</strong>นอกเหนือจากการรุกตลาดส่งออกและผลักดันสินค้าศักยภาพแล้ว&nbsp;<strong>การเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (</strong><strong>FTA) เพื่อลดภาษีสินค้า&nbsp;</strong>รวมถึง<strong>การเจรจาแก้ไขปัญหาจากอุปสรรคและมาตรการทางการค้าที่ไม่ใช่มาตรการทางภาษี&nbsp;</strong>(NTBs และ NTMs)<strong>&nbsp;ในตลาดเป้าหมายก็เป็นอีกส่วนสำคัญในการผลักดันการส่งออกในอนาคต&nbsp;</strong>โดยหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันกับภาคเอกชนด้วย ในส่วนของ<strong>ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญในการดูแลรักษามาตรฐานสินค้าและบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้สินค้าไทยคงศักยภาพในการส่งออกต่อไป</strong></p>

<p>&nbsp;</p>

<p><a href="http://uploads.tpso.go.th/2020-02-02_press_release_-snkh_khaadkaarsngkaithyainpii_2563_cchaklab.pdf" target="_blank">2020-02-02_press_release_-snkh_khaadkaarsngkaithyainpii_2563_cchaklab.pdf</a></p>

          นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวถึงแนวโน้มการส่งออกว่า สนค. ประเมินการส่งออกไทยจะกลับมาขยายตัวในปี 2563 โดยการส่งออกล่าสุดเดือน ธ.ค. 62 หดตัวร้อยละ 1.3 แต่หากหักน้ำมันและทองคำ จะขยายตัวที่ร้อยละ 1.2 เป็นสัญญาณดีว่าการส่งออกไทยเริ่มฟื้นตัวและมีทิศทางที่ดีในปี 2563 มีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ คือ (1) เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว โดย IMF คาดการณ์ว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.3 ใน ปี 2563 (จากร้อยละ 2.9 ในปี 2562) และเห็นสัญญาณว่าการค้าโลกกำลังผ่านจุดต่ำสุดจากกิจกรรมการผลิตในหลายสาขา  (2) ท่าทีความพร้อมในการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของหลายประเทศเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ อาทิ สหรัฐ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น (3) ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น (4) สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่เริ่มผ่อนคลายจากการลงนามข้อตกลงทางการค้าระยะแรก (Phase-1 Deal) (5) สถานการณ์ Brexit มีความชัดเจนแล้ว และมีช่วงเปลี่ยนผ่านจนถึงสิ้นปี 2563 ซึ่งจะยังไม่ส่งกระทบต่อผู้ประกอบการไทย และ (6) ค่าเงินบาทเริ่มมีแนวโน้มอ่อนค่าลง โดยเดือน ม.ค. 2563 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 30.44 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. กลับมาอ่อนค่าในรอบ 9 เดือน

 

           สำหรับประเด็นการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในประเทศจีนนั้น สนค. คาดว่า ยังไม่น่ากระทบต่อการส่งออกไทยในระยะสั้น โดยเฉพาะกลุ่มอาหารที่มีมูลค่าสูงในตลาดจีน เพราะมีอุปสงค์ซื้อสินค้าอาหารไทยที่มีความปลอดภัยและคุณภาพดีอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ไม่ให้มีการชะงักของการค้าในภูมิภาค

 

          สำหรับประเด็นสินค้าส่งออก 573 รายการ ถูกระงับสิทธิ GSP โดยสหรัฐฯ นั้น นางสาวพิมพ์ชนก ยืนยันว่ากระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่และเตรียมมาตรการรองรับในทุกกรณีอย่างรัดกุมเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ส่งออกน้อยที่สุด โดยกรมการค้าต่างประเทศมีแผนรองรับสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ และในด้านการรักษาตลาด กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมีแผนจัดกิจกรรมนำคณะภาครัฐและเอกชนบุกตลาดเป้าหมายกว่า 18 ประเทศ ในปี 2563 ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์การตลาดสำคัญตามแนวนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) เพื่อรักษาฐานเดิมและขยายตลาดใหม่ที่มีศักยภาพอย่างครอบคลุม และกระจายความเสี่ยงจากมาตรการการค้าของประเทศใดประเทศหนึ่ง แผนกิจกรรมสำคัญ อาทิ เอเชีย จีน ญี่ปุ่น อินเดีย บังคลาเทศ และ CLMV ยุโรป ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และรัสเซีย แอฟริกา แอฟริกาใต้ ตะวันออกกลาง บาห์เรน และออสเตรเลีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์

 

          ในมุมมองรายตลาด นางสาวพิมพ์ชนก ชี้แจงว่าตลาดส่งออกสำคัญต่างๆ มีการปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนในครึ่งปีหลังของปี 2562 อีกทั้งการส่งออกเดือน ธ.ค. 2562 ขยายตัวในหลายตลาด การส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ และจีน ขยายตัวร้อยละ 15.6 และ 7.3 ตามลำดับ ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 10 เดือน และ 18 เดือน ตามลำดับ นอกจากนี้ การส่งออกไปตลาดตะวันออกกลางและตลาดรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS ขยายตัวร้อยละ 11.4 และ 8.0 เป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 23 เดือน และ 16 เดือน ตามลำดับ รวมทั้งการส่งออกไปตลาด CLMV  กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 8 เดือนที่ร้อยละ 1.1 ซึ่งการส่งออกไปตลาดสำคัญที่ปรับตัวดีขึ้นสะท้อนถึงการส่งออกไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดว่าจะรักษาโมเมนตัมการฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในปี 2563

 

          นอกจากนี้ จากการวิเคราะห์ของ สนค. พบว่า มีสินค้าส่งออกหลายรายการที่ควรเร่งผลักดันเพื่อให้การส่งออกไทยกลับมาขยายตัว ในปี 2563 โดยสินค้าไทยมากกว่า 30 รายการ ครอบคลุมทั้งสินค้าเกษตรและอาหาร และสินค้าอุตสาหกรรม (สัดส่วนประมาณร้อยละ 25 และขยายตัวมากกว่าร้อยละ 13) ทำสถิติมูลค่าส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ท่ามกลางการค้าโลกที่ชะลอตัวในปี 2562 และคาดว่าจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องในปีนี้ ซึ่งการที่ไทยสามารถส่งออกสินค้ากลุ่มนี้สูงสุดเป็นประวัติการสะท้อนความสามารถในการปรับตัวและพัฒนาสินค้าของผู้ประกอบการไทยที่ตอบโจทย์ตามความต้องการของตลาด สินค้าเกษตรและอาหาร อาทิ ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง นมและผลิตภัณฑ์นม ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ เครื่องดื่ม สิ่งปรุงรสอาหาร และอาหารสัตว์เลี้ยง สินค้าอุตสาหกรรม ได้แก่ เครื่องส่งวิทยุ โทรเลข โทรศัพท์ นาฬิกาและส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องสำอางสบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว  ผ้าแบบสำหรับตัดเสื้อ และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร

 

          ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กล่าวทิ้งท้ายว่า นอกเหนือจากการรุกตลาดส่งออกและผลักดันสินค้าศักยภาพแล้ว การเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อลดภาษีสินค้า รวมถึงการเจรจาแก้ไขปัญหาจากอุปสรรคและมาตรการทางการค้าที่ไม่ใช่มาตรการทางภาษี (NTBs และ NTMs) ในตลาดเป้าหมายก็เป็นอีกส่วนสำคัญในการผลักดันการส่งออกในอนาคต โดยหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันกับภาคเอกชนด้วย ในส่วนของผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญในการดูแลรักษามาตรฐานสินค้าและบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้สินค้าไทยคงศักยภาพในการส่งออกต่อไป

 

เผยแพร่เมื่อวันที่ 03 มกราคม 2563