ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยประจำเดือนสิงหาคม 2563
สถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลกมีทิศทางที่ดีขึ้น ล่าสุด องค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 2563 ว่าจะหดตัวเพียงร้อยละ 4.5 ดีขึ้นกว่าประมาณการครั้งก่อนหน้าที่คาดว่าจะหดตัวถึงร้อยละ 6.0 โดยภาคการจ้างงานของสหรัฐฯ มีการฟื้นตัวดี และภาคการผลิตจีนกลับมาเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเศรษฐกิจทั่วโลกต่างมีทิศทางดีขึ้น จากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และมีมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องจากธนาคารกลางทั่วโลก ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกของไทยเดือนสิงหาคม 2563 กลับมาแตะเหนือระดับ 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นการฟื้นตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2
สินค้าที่ขยายตัวได้ดีแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
1. สินค้าอาหาร เช่น ข้าวพรีเมียม ข้าวกล้อง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง น้ำมันปาล์ม ทูน่ากระป๋อง สุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง สิ่งปรุงรสอาหาร และอาหารสัตว์เลี้ยง
2. สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ยังคงขยายตัว เช่น เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องซักผ้า และโซลาร์เซลล์
3. สินค้าเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น ถุงมือยาง ซึ่งขยายตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่มีการแพร่ระบาด เป็นต้นมา โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศคู่ค้าที่มีอัตราการแพร่ระบาดสูงอย่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ การส่งออกทองคำขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องจากปัจจัยด้านราคา ตามความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย
ด้านตลาดส่งออก ตลาดสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่หลายตลาดกลับมาขยายตัวหลังการหดตัวในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะสิงคโปร์ เนเธอร์แลนด์ ฮ่องกง และเมียนมา รวมทั้งตลาดอื่นๆ ที่มีสัดส่วนสำคัญกับการส่งออกไทย ล้วนมีอัตราการหดตัวที่ลดลงมากในเดือนนี้ เช่น ญี่ปุ่น มาเลเซีย อินเดีย สหราชอาณาจักร และเยอรมนี สะท้อนภาพรวมการค้าโลกที่เริ่มฟื้นตัว และส่งสัญญาณที่ดีต่อการส่งออกของไทย
ภาพรวมการส่งออกไทยเดือนสิงหาคม 2563 มีมูลค่า 20,212.35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 7.94 ขณะที่การส่งออก 8 เดือนแรก (มกราคม–สิงหาคม) หดตัวร้อยละ 7.75
แนวโน้มและมาตรการส่งเสริมการส่งออกปี 2563
การส่งออกของไทยคาดว่าจะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ประเทศคู่ค้ายังสามารถควบคุมได้ และเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ประกอบกับปัจจัยบวกข่าวความสำเร็จในการสร้างวัคซีนต้านโควิด-19ในหลายประเทศ ทำให้บรรยากาศการค้าเริ่มกลับมาคึกคัก อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่าการผลิตวัคซีนในปริมาณมากอาจไม่สามารถทำได้ในปีนี้ ประกอบกับกำลังซื้อที่หายไปในช่วงการระบาดยังไม่กลับมา ทำให้ผู้ส่งออกในบางอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ ปิโตรเคมี และอิเล็กทรอนิกส์ มีความกังวลเกี่ยวกับยอดการส่งออกในปีนี้ อย่างไรก็ดี สินค้าอาหารแปรรูปยังเป็นที่ต้องการในหลายประเทศจากความไม่แน่นอนดังกล่าว ทั้งนี้ ปัจจัยลบที่อาจส่งผลต่อการส่งออกของไทยในช่วงถัดไป ได้แก่ การแพร่ระบาดที่รุนแรงขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมียนมา กัมพูชา และเวียดนาม ส่งผลให้การค้าชายแดนเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวมากขึ้น
สำหรับการส่งเสริมการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2563 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) เปิดโครงการปั้นซีอีโอ Gen Z มีเป้าหมายสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ 12,000 คน เป็นกำลังสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจยุคนิวนอร์มอล ด้านการค้าระหว่างประเทศ เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้เข้าสู่เวทีโลกมากขึ้น สำหรับมาตรการระบายสินค้าเกษตรในประเทศในเดือนสิงหาคม ได้เริ่มเปิดศูนย์ส่งออกผลไม้เบ็ดเสร็จ (One stop Fruit Export Center หรือ OSFEC) หวังช่วยลดขั้นตอนส่งออก ด้วยบริการเบ็ดเสร็จจุดเดียว (One Stop Service) โดยใช้จังหวัดชุมพรเป็นต้นแบบ และจะขยายไปสู่จังหวัดอื่นๆ เช่น ราชบุรี ปทุมธานี นครศรีธรรมราช และจันทบุรี เป็นต้น
ท่านสามารถดาวน์โหลดเอกสารประกอบการแถลงข่าวเพิ่มเติมได้ที่ https://tpso.go.th/document/2305-0000000622