ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยประจำเดือนพฤศจิกายน 2563

ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยประจำเดือนพฤศจิกายน 2563

avatar

Administrator


98


<p><strong>ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยประจำเดือนพฤศจิกายน 2563</strong>&nbsp;</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนพฤศจิกายน ส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี แม้ยังมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่เศรษฐกิจโลกมีทิศทางการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อโลก (Global Manufacturing PMI) ที่ปรับตัวดีขึ้นเหนือระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และทำสถิติสูงสุดในรอบ 24 เดือน สอดคล้องกับหลายองค์กรระหว่างประเทศที่ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกในทิศทางที่ดีขึ้น&nbsp;ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศที่ช่วยเพิ่มกำลังซื้อของคู่ค้า ส่งผลให้สินค้าส่งออกในเดือนนี้ปรับตัวดีขึ้นหลายรายการ รวมทั้งข่าวดีเรื่องความคืบหน้าในการผลิตและกระจายวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศ ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นทั้งในภาคการผลิต และการบริโภค โดยการส่งออกไทยมีภาวะการหดตัวน้อยลง ทั้งสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไทยเดือนพฤศจิกายน 2563 มีมูลค่า 18,932.66 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 3.65 ขณะที่ภาพรวมการส่งออก 11 เดือนแรก (มกราคม&ndash;พฤศจิกายน) มีมูลค่า 211,385.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 6.92</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;สินค้าที่ขยายตัวได้ดี ยังเป็นสินค้ากลุ่มเดิมที่เติบโตต่อเนื่อง 3 กลุ่มหลัก ได้แก่<br />
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;1 -&nbsp; สินค้าอาหาร เช่น ผักและผลไม้ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง อาหารสัตว์เลี้ยง สุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง และสิ่งปรุงรสอาหาร<br />
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;2 -&nbsp; สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ และโทรศัพท์และอุปกรณ์<br />
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;3 -&nbsp; สินค้าเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ รวมถึงถุงมือยางที่มีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ด้านตลาดส่งออก ตลาดสหรัฐฯ และออสเตรเลีย ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่หลายตลาดกลับมาฟื้นตัวเป็นบวกอีกครั้ง โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และมาเลเซีย รวมทั้งตลาดอื่นๆ ที่มีสัดส่วนสำคัญกับการส่งออกไทย ล้วนมีอัตราการหดตัวที่ลดลงมากในเดือนนี้ เช่น อาเซียน (5) และตะวันออกกลาง ในขณะที่การค้าชายแดนของไทย โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม CLMV ยังได้รับผลกระทบจากการกลับมาแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;<strong>มูลค่าการค้ารวม</strong></p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;<strong>มูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ</strong><br />
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;เดือนพฤศจิกายน 2563 การส่งออก มีมูลค่า 18,932.66 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 3.65 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) การนำเข้า มีมูลค่า 18,880.07 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 0.99 การค้าเกินดุล 52.59 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพรวม 11 เดือนแรกของปี 2563 การส่งออก มีมูลค่า 211,385.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 6.92 ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 187,872.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 13.74 ส่งผลให้ 11 เดือนแรกของปี 2563 การค้าเกินดุล 23,512.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; <strong>&nbsp;มูลค่าการค้าในรูปของเงินบาท</strong><br />
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;เดือนพฤศจิกายน 2563 การส่งออก มีมูลค่า 585,911.03 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 0.65 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 592,369.78 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 1.98 การค้าขาดดุล 6,458.75 ล้านบาท ภาพรวม 11 เดือนแรกของปี 2563 การส่งออก มีมูลค่า 6,575,690.45 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 6.78 ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 5,920,305.57 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 13.76 ส่งผลให้ 11 เดือนแรกของปี 2563 การค้าเกินดุล 655,384.88 ล้านบาท</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;<strong>แนวโน้มและมาตรการส่งเสริมการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2563 - 2564&nbsp;</strong></p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การส่งออกไทยได้รับปัจจัยบวกจากความเชื่อมั่นเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน ในภาพรวมคาดว่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกในเดือนสุดท้ายของปี และหากประเทศไทยได้รับมอบวัคซีนในช่วงกลางปี 2564 ตามกำหนด จะฟื้นคืนความเชื่อมั่นได้เร็วขึ้น และส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัว ซึ่งจะทำให้สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวหลายรายการกลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ปัจจัยบวกในปี 2564 นอกจากการผลิตและการกระจายวัคซีนแล้ว หลังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและภาคการขนส่งสามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกสูงกลับมาขยายตัว ขณะที่ปัจจัยลบต่อการส่งออก คือ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่อาจยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อทั่วโลก นอกจากนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดในจังหวัดสมุทรสาครของไทย ที่จะต้องควบคุมไม่ให้เกิดการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งจะกระทบการส่งออกสินค้าอาหารทะเลของไทยได้ นอกจากนี้ ปัจจุบันผู้ส่งออกประสบปัญหาขาดแคลนตู้สินค้า ซึ่งหลังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ประเทศต่างๆ จะกลับมาส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น จึงต้องเร่งแก้ปัญหาเพื่อไม่ให้กระทบการส่งออกในอนาคต ประกอบกับปัญหาเชิงโครงสร้างของสินค้าอุตสาหกรรมไทยที่ยังผลิตโดยใช้เทคโนโลยีเก่า ขณะที่หลายๆ ประเทศเริ่มเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยี หากผู้ประกอบการไม่ปรับตัว หรือประเทศไทยไม่สามารถดึงดูดการลงทุนในสินค้าอุตสาหกรรมใหม่เข้ามาในประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกในระยะยาว</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การส่งเสริมการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2563 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ได้หารือกับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้สินค้าเพื่อให้มีเพียงพอต่อความต้องการของผู้ส่งออก รวมถึงการลดค่าระวางเรือ และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ในด้านการเจรจาการค้า ได้กำชับให้เร่งเจรจาความตกลงการค้าระหว่างประเทศ (FTA) ที่ยังค้างอยู่ และเปิดการเจรจา FTA ใหม่ๆ เช่น ไทย-สหราชอาณาจักร ไทย-ยูเรเซีย ไทย-เอฟต้า อาเซียน-แคนาดา ตลอดจนผลักดันการสร้างหุ้นส่วนพันธมิตรรายมณฑล นอกจากนี้ ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์เร่งหาตลาดและโอกาสในการส่งออกเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มแต้มต่อให้การส่งออกของไทยในปี 2564</p>

<p><strong>ท่านสามารถดาวน์โหลดเอกสารเพิ่มเติมได้ที่&nbsp;</strong><a href="https://tpso.go.th/document/2305-0000000619">click</a></p>

<p><img src="http://uploads.tpso.go.th/1_2.jpg" /></p>

<p><img src="http://uploads.tpso.go.th/2_3.jpg" /></p>

<p><img src="http://uploads.tpso.go.th/3_4.jpg" /></p>

<p><img src="http://uploads.tpso.go.th/4_4.jpg" /></p>

<p><strong>ไฟล์อัพโหลด:&nbsp;</strong><a href="http://uploads.tpso.go.th/2.ppt_export_phrscchikaayn_2563_final1_pr_0.pdf" target="_blank">2.ppt_export_phrscchikaayn_2563_final1_pr_0.pdf</a></p>

ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยประจำเดือนพฤศจิกายน 2563 

                   การค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนพฤศจิกายน ส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี แม้ยังมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่เศรษฐกิจโลกมีทิศทางการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อโลก (Global Manufacturing PMI) ที่ปรับตัวดีขึ้นเหนือระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และทำสถิติสูงสุดในรอบ 24 เดือน สอดคล้องกับหลายองค์กรระหว่างประเทศที่ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกในทิศทางที่ดีขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศที่ช่วยเพิ่มกำลังซื้อของคู่ค้า ส่งผลให้สินค้าส่งออกในเดือนนี้ปรับตัวดีขึ้นหลายรายการ รวมทั้งข่าวดีเรื่องความคืบหน้าในการผลิตและกระจายวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศ ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นทั้งในภาคการผลิต และการบริโภค โดยการส่งออกไทยมีภาวะการหดตัวน้อยลง ทั้งสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไทยเดือนพฤศจิกายน 2563 มีมูลค่า 18,932.66 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 3.65 ขณะที่ภาพรวมการส่งออก 11 เดือนแรก (มกราคม–พฤศจิกายน) มีมูลค่า 211,385.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 6.92

                   สินค้าที่ขยายตัวได้ดี ยังเป็นสินค้ากลุ่มเดิมที่เติบโตต่อเนื่อง 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
                   1 -  สินค้าอาหาร เช่น ผักและผลไม้ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง อาหารสัตว์เลี้ยง สุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง และสิ่งปรุงรสอาหาร
                   2 -  สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ และโทรศัพท์และอุปกรณ์
                   3 -  สินค้าเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ รวมถึงถุงมือยางที่มีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

                   ด้านตลาดส่งออก ตลาดสหรัฐฯ และออสเตรเลีย ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่หลายตลาดกลับมาฟื้นตัวเป็นบวกอีกครั้ง โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และมาเลเซีย รวมทั้งตลาดอื่นๆ ที่มีสัดส่วนสำคัญกับการส่งออกไทย ล้วนมีอัตราการหดตัวที่ลดลงมากในเดือนนี้ เช่น อาเซียน (5) และตะวันออกกลาง ในขณะที่การค้าชายแดนของไทย โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม CLMV ยังได้รับผลกระทบจากการกลับมาแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา

                   มูลค่าการค้ารวม

                   มูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ
                   เดือนพฤศจิกายน 2563 การส่งออก มีมูลค่า 18,932.66 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 3.65 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) การนำเข้า มีมูลค่า 18,880.07 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 0.99 การค้าเกินดุล 52.59 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพรวม 11 เดือนแรกของปี 2563 การส่งออก มีมูลค่า 211,385.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 6.92 ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 187,872.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 13.74 ส่งผลให้ 11 เดือนแรกของปี 2563 การค้าเกินดุล 23,512.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

                   มูลค่าการค้าในรูปของเงินบาท
                   เดือนพฤศจิกายน 2563 การส่งออก มีมูลค่า 585,911.03 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 0.65 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 592,369.78 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 1.98 การค้าขาดดุล 6,458.75 ล้านบาท ภาพรวม 11 เดือนแรกของปี 2563 การส่งออก มีมูลค่า 6,575,690.45 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 6.78 ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 5,920,305.57 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 13.76 ส่งผลให้ 11 เดือนแรกของปี 2563 การค้าเกินดุล 655,384.88 ล้านบาท

                   แนวโน้มและมาตรการส่งเสริมการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2563 - 2564 

                   การส่งออกไทยได้รับปัจจัยบวกจากความเชื่อมั่นเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน ในภาพรวมคาดว่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกในเดือนสุดท้ายของปี และหากประเทศไทยได้รับมอบวัคซีนในช่วงกลางปี 2564 ตามกำหนด จะฟื้นคืนความเชื่อมั่นได้เร็วขึ้น และส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัว ซึ่งจะทำให้สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวหลายรายการกลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง

                   ปัจจัยบวกในปี 2564 นอกจากการผลิตและการกระจายวัคซีนแล้ว หลังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและภาคการขนส่งสามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกสูงกลับมาขยายตัว ขณะที่ปัจจัยลบต่อการส่งออก คือ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่อาจยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อทั่วโลก นอกจากนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดในจังหวัดสมุทรสาครของไทย ที่จะต้องควบคุมไม่ให้เกิดการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งจะกระทบการส่งออกสินค้าอาหารทะเลของไทยได้ นอกจากนี้ ปัจจุบันผู้ส่งออกประสบปัญหาขาดแคลนตู้สินค้า ซึ่งหลังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ประเทศต่างๆ จะกลับมาส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น จึงต้องเร่งแก้ปัญหาเพื่อไม่ให้กระทบการส่งออกในอนาคต ประกอบกับปัญหาเชิงโครงสร้างของสินค้าอุตสาหกรรมไทยที่ยังผลิตโดยใช้เทคโนโลยีเก่า ขณะที่หลายๆ ประเทศเริ่มเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยี หากผู้ประกอบการไม่ปรับตัว หรือประเทศไทยไม่สามารถดึงดูดการลงทุนในสินค้าอุตสาหกรรมใหม่เข้ามาในประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกในระยะยาว

                   การส่งเสริมการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2563 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ได้หารือกับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้สินค้าเพื่อให้มีเพียงพอต่อความต้องการของผู้ส่งออก รวมถึงการลดค่าระวางเรือ และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ในด้านการเจรจาการค้า ได้กำชับให้เร่งเจรจาความตกลงการค้าระหว่างประเทศ (FTA) ที่ยังค้างอยู่ และเปิดการเจรจา FTA ใหม่ๆ เช่น ไทย-สหราชอาณาจักร ไทย-ยูเรเซีย ไทย-เอฟต้า อาเซียน-แคนาดา ตลอดจนผลักดันการสร้างหุ้นส่วนพันธมิตรรายมณฑล นอกจากนี้ ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์เร่งหาตลาดและโอกาสในการส่งออกเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มแต้มต่อให้การส่งออกของไทยในปี 2564

ท่านสามารถดาวน์โหลดเอกสารเพิ่มเติมได้ที่ click

ไฟล์อัพโหลด: 

เผยแพร่เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2563