สนค. ปรับแผนงานสู้โควิด จับมือพันธมิตรเดินหน้าบล็อกเชน

สนค. ปรับแผนงานสู้โควิด จับมือพันธมิตรเดินหน้าบล็อกเชน

avatar

Administrator


67


<p><strong>สนค. ปรับแผนงานสู้โควิด จับมือพันธมิตรเดินหน้าบล็อกเชน</strong></p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;<strong>สนค. ให้ความสำคัญของการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจการค้า โดยได้พัฒนาระบบให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับสินค้าตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก การผลิต การแปรรูป การจำหน่าย รวมถึงข้อมูลการรับรองมาตรฐาน ผ่านการสแกนคิวอาร์โค้ดหรือตรวจสอบจากเลขที่ระบุลอตการผลิตบนฉลากสินค้า</strong>&nbsp;<strong>เพื่อสร้างความโปร่งใสและน่าเชื่อถือต่อสินค้าไทย</strong></p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์&nbsp;(ผอ. สนค.) ได้เปิดเผยว่า การดำเนินงานเรื่อง Blockchain นี้สอดคล้องกับนโยบายที่สำคัญ 1 ใน 14 แผนงานของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่ ที่มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาระบบการค้า เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการให้สามารถปรับตัวรองรับระบบเศรษฐกิจการค้ายุคใหม่ และในรูปแบบ New Normal ที่เชื่อมโยงกับเทคโนโลยีสมัยใหม่มากขึ้น นอกจากนี้จะยังเสริมสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการและเกษตรกรอีกด้วย&nbsp;</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;โดยการนำระบบ Blockchain มาใช้จะช่วยสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือต่อสินค้าให้แก่ผู้บริโภคทั้งชาวไทย ต่างชาติ รวมถึงบริษัทคู่ค้า ที่จะสามารถตรวจสอบการผลิตสินค้าตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิตและการค้าได้ ซึ่ง สนค. ได้ทดลองนำร่องในสินค้าข้าวอินทรีย์และอยู่ระหว่างการพิจารณาขยายผลไปยังสินค้าศักยภาพอื่นต่อไป ในการใช้งานตรวจสอบย้อนกลับนั้น สามารถสแกนคิวอาร์โค้ดหรือตรวจสอบจากเลขที่ระบุลอตการผลิตบนฉลากสินค้าผ่านเว็บไซต์&nbsp;<a href="https://www.thairath.co.th/news/business/1925847" target="_blank">TraceThai.com</a>&nbsp;จากนั้นระบบจะแสดงข้อมูลสินค้าตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก การผลิต การแปรรูป การจำหน่าย รวมถึงข้อมูลการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์&nbsp;<strong>ซึ่งระบบนี้ได้เปิดการใช้งานอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 เป็นต้นมา</strong>&nbsp;ทั้<strong>งยังได้รับรางวัล&nbsp;</strong><strong>Best Practice ภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต ประจำปี 2563 จากกระทรวงอุตสาหกรรรม</strong></p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;แม้ในช่วงนี้จะประสบปัญหาการดำเนินงานเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) แต่การดำเนินงานยังคงเดินหน้าต่อ โดยเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา สนค. และพันธมิตร อาทิ ธ.ก.ส. สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ รวมถึงหน่วยงานในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ทั้งส่วนกลาง ภูมิภาค และต่างประเทศ ได้แก่ พาณิชย์จังหวัด สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ได้หารือร่วมกันที่จะปรับการดำเนินงานให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นภายใต้สถานการณ์ครั้งนี้ เช่น เลื่อนการลงพื้นที่เพื่อเผยแพร่การใช้งานระบบในจังหวัดที่มีศักยภาพผลิตสินค้าข้าวอินทรีย์ของภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือออกไปก่อน พร้อมนำรูปแบบการทำงานและจัดประชุมออนไลน์มาใช้&nbsp;<strong>สำหรับในปีนี้มีเป้าหมายจะเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานในระบบให้เพิ่มมากขึ้น โดยจะเดินหน้าสร้างความเข้าใจและเชิญชวนกลุ่มผู้ผลิตข้าวอินทรีย์เข้าสู่ระบบ ไม่น้อยกว่า 150 กลุ่ม/คน นอกจากนี้ ยังได้หารือกับกรมศุลกากรและกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อขยายการใช้งานการอำนวยความสะดวกทางการค้า (</strong><strong>Trade Facilitation) เช่น เชื่อมกับระบบ National Single Windows นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาระบบ Blockchain สำหรับสินค้า GI ร่วมกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาต่อไป</strong></p>

<p>---------------------------------------------</p>

<p>สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์</p>

<p>29 เมษายน 2564</p>

<p><strong>อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:&nbsp;</strong><a href="http://uploads.tpso.go.th/khaaw_khwaamkhuuebhnaa_bc_-290463.pdf" target="_blank">khaaw_khwaamkhuuebhnaa_bc_-290463.pdf</a></p>

สนค. ปรับแผนงานสู้โควิด จับมือพันธมิตรเดินหน้าบล็อกเชน

                    สนค. ให้ความสำคัญของการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจการค้า โดยได้พัฒนาระบบให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับสินค้าตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก การผลิต การแปรรูป การจำหน่าย รวมถึงข้อมูลการรับรองมาตรฐาน ผ่านการสแกนคิวอาร์โค้ดหรือตรวจสอบจากเลขที่ระบุลอตการผลิตบนฉลากสินค้า เพื่อสร้างความโปร่งใสและน่าเชื่อถือต่อสินค้าไทย

                    นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ (ผอ. สนค.) ได้เปิดเผยว่า การดำเนินงานเรื่อง Blockchain นี้สอดคล้องกับนโยบายที่สำคัญ 1 ใน 14 แผนงานของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่ ที่มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาระบบการค้า เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการให้สามารถปรับตัวรองรับระบบเศรษฐกิจการค้ายุคใหม่ และในรูปแบบ New Normal ที่เชื่อมโยงกับเทคโนโลยีสมัยใหม่มากขึ้น นอกจากนี้จะยังเสริมสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการและเกษตรกรอีกด้วย 

                    โดยการนำระบบ Blockchain มาใช้จะช่วยสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือต่อสินค้าให้แก่ผู้บริโภคทั้งชาวไทย ต่างชาติ รวมถึงบริษัทคู่ค้า ที่จะสามารถตรวจสอบการผลิตสินค้าตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิตและการค้าได้ ซึ่ง สนค. ได้ทดลองนำร่องในสินค้าข้าวอินทรีย์และอยู่ระหว่างการพิจารณาขยายผลไปยังสินค้าศักยภาพอื่นต่อไป ในการใช้งานตรวจสอบย้อนกลับนั้น สามารถสแกนคิวอาร์โค้ดหรือตรวจสอบจากเลขที่ระบุลอตการผลิตบนฉลากสินค้าผ่านเว็บไซต์ TraceThai.com จากนั้นระบบจะแสดงข้อมูลสินค้าตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก การผลิต การแปรรูป การจำหน่าย รวมถึงข้อมูลการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ซึ่งระบบนี้ได้เปิดการใช้งานอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 เป็นต้นมา ทั้งยังได้รับรางวัล Best Practice ภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต ประจำปี 2563 จากกระทรวงอุตสาหกรรรม

                    แม้ในช่วงนี้จะประสบปัญหาการดำเนินงานเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) แต่การดำเนินงานยังคงเดินหน้าต่อ โดยเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา สนค. และพันธมิตร อาทิ ธ.ก.ส. สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ รวมถึงหน่วยงานในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ทั้งส่วนกลาง ภูมิภาค และต่างประเทศ ได้แก่ พาณิชย์จังหวัด สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ได้หารือร่วมกันที่จะปรับการดำเนินงานให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นภายใต้สถานการณ์ครั้งนี้ เช่น เลื่อนการลงพื้นที่เพื่อเผยแพร่การใช้งานระบบในจังหวัดที่มีศักยภาพผลิตสินค้าข้าวอินทรีย์ของภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือออกไปก่อน พร้อมนำรูปแบบการทำงานและจัดประชุมออนไลน์มาใช้ สำหรับในปีนี้มีเป้าหมายจะเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานในระบบให้เพิ่มมากขึ้น โดยจะเดินหน้าสร้างความเข้าใจและเชิญชวนกลุ่มผู้ผลิตข้าวอินทรีย์เข้าสู่ระบบ ไม่น้อยกว่า 150 กลุ่ม/คน นอกจากนี้ ยังได้หารือกับกรมศุลกากรและกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อขยายการใช้งานการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation) เช่น เชื่อมกับระบบ National Single Windows นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาระบบ Blockchain สำหรับสินค้า GI ร่วมกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาต่อไป

---------------------------------------------

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์

29 เมษายน 2564

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: 

เผยแพร่เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564