ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย ประจำเดือนพฤศจิกายน 2565
การส่งออกของไทยในเดือนพฤศจิกายน 2565 มีมูลค่า 22,308.0 ล้านเหรียญสหรัฐ (846,191 ล้านบาท) หดตัวร้อยละ 6.0 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย หดตัวร้อยละ 2.0 การส่งออกไทยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่เข้าสู่ภาวะชะลอตัวผลของอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค รวมทั้งการใช้มาตรการโควิดเป็นศูนย์ในตลาดจีน กระทบต่อภาคการผลิตโดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของโลก (PMI) ต่ำกว่าระดับ 50 ต่อเนื่อง 3 เดือน เช่นเดียวกับหลายประเทศในเอเชียที่อัตราการส่งออกชะลอลง อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยหนุนจากค่าระวางเรือ ที่ปรับลดลงต่อเนื่องในเส้นทางสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งช่วยลดต้นทุนของผู้ส่งออก รวมทั้งการออกมาตรการกระตุ้นการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ทั้งนี้ การส่งออกไทย 11 เดือนแรก ยังขยายตัวได้ที่ร้อยละ 7.6 และเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 6.5
มูลค่าการค้ารวม
- มูลค่าการค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐเดือนพฤศจิกายน 2565
การส่งออก มีมูลค่า 22,308.0 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 6.0 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
การนำเข้า มีมูลค่า 23,650.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 5.6
ดุลการค้า ขาดดุล 1,342.3 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่ภาพรวม 11 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม - พฤศจิกายน)
การส่งออก มีมูลค่า 265,349.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 7.6
การนำเข้า มีมูลค่า 280,438.0 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 16.3
ดุลการค้า ขาดดุล 15,088.9 ล้านเหรียญสหรัฐ
- มูลค่าการค้าในรูปเงินบาทเดือนพฤศจิกายน 2565
การส่งออก มีมูลค่า 846,191 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.7 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
การนำเข้า มีมูลค่า 907,143 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 20.6
ดุลการค้า ขาดดุล 60,952 ล้านบาท
ขณะที่ภาพรวม 11 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม - พฤศจิกายน)
การส่งออก มีมูลค่า 9,167,993 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 18.4
การนำเข้า มีมูลค่า 9,823,872 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 28.0
ดุลการค้า ขาดดุล 655,879 ล้านบาท
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวร้อยละ 2.0 (YoY) หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน แต่ยังมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัวดี ได้แก่ ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และไก่แปรรูป ขยายตัวร้อยละ 20.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร จีน เนเธอร์แลนด์ และมาเลเซีย) ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ขยายตัวร้อยละ 7.5 กลับมาขยายตัวในรอบ 5 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้) ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 13.0 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน เมียนมา อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น) น้ำตาลทราย ขยายตัวร้อยละ 43.4 (ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย ลาว กัมพูชา จีน และฟิลิปปินส์) เครื่องดื่ม ขยายตัวร้อยละ 7.1 ขยายตัวต่อเนื่อง 5 เดือน (ขยายตัวในตลาดเวียดนาม เมียนมา สิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์) ไอศกรีม ขยายตัวร้อยละ 7.4 ขยายตัวต่อเนื่อง 30 เดือน (ขยายตัวในตลาดกัมพูชา ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย อินเดีย และอินโดนีเซีย) ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ข้าว หดตัวร้อยละ 4.7 หดตัวในรอบ 10 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ แอฟริกาใต้ แองโกลา เยเมน และโมซัมบิก แต่ขยายตัวในตลาดจีน อิรัก ฮ่องกง ญี่ปุ่น และเซเนกัล) ยางพารา หดตัวร้อยละ 34.2 หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย สหรัฐฯ อินเดีย และบราซิล แต่ขยายตัวในตลาดเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น) อาหารสัตว์เลี้ยง หดตัวร้อยละ 5.8 หดตัวในรอบ 39 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย อินเดีย และอิตาลี แต่ขยายตัวในตลาดออสเตรเลีย เยอรมนี ไต้หวัน เวียดนาม และกัมพูชา) ผลไม้กระป๋องและแปรรูป หดตัวร้อยละ 7.8 หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น กัมพูชา แคนาดา และสิงคโปร์ แต่ขยายตัวในตลาดจีน เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย รัสเซียและมาเลเซีย) สิ่งปรุงรสอาหาร หดตัวร้อยละ 15.0 หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (หดตัวในตลาดฟิลิปปินส์ สหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี และสหราชอาณาจักร แต่ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น ออสเตรเลีย กัมพูชา มาเลเซีย และสิงคโปร์ ทั้งนี้ 11 เดือนแรกของปี 2565 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 10.8 (YoY)
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 5.1 (YoY) หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน แต่ยังมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัวดี อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 5.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (ขยายตัวในตลาดเวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และซาอุดีอาระเบีย) อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ 8.0 ขยายตัวต่อเนื่อง 21 เดือน (ขยายตัวในตลาดฮ่องกง สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย อิตาลี และเบลเยียม) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 5.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 6 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ออสเตรเลีย อินเดีย เวียดนาม และไต้หวัน) เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 91.0 ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมียนมา และสาธารณรัฐเช็ก) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ขยายตัวร้อยละ 73.1 ขยายตัวต่อเนื่อง 5 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม อินเดีย จีน และสิงคโปร์) รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 17.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (ขยายตัวในตลาดเบลเยียม ญี่ปุ่น สหรัฐฯ บราซิล และออสเตรเลีย) ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน หดตัวร้อยละ 27.5 หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (หดตัวในตลาดจีน เวียดนาม อินเดีย ญี่ปุ่น และมาเลเซีย แต่ขยายตัวในตลาดลาว เมียนมา เกาหลีใต้ เนเธอร์แลนด์ และอียิปต์) เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ หดตัวร้อยละ 20.9 หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ แต่ขยายตัวในตลาดจีน เม็กซิโก ไอร์แลนด์ ไต้หวัน และอินเดีย) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ หดตัวร้อยละ 16.0 หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย เวียดนาม และเกาหลีใต้ แต่ขยายตัวในตลาดอินเดีย มาเลเซีย จีน ลาว และสิงคโปร์) ทั้งนี้ 11 เดือนแรกของปี 2565 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 6.5 (YoY)
ตลาดส่งออกสำคัญ
การส่งออกไปยังตลาดสำคัญส่วนใหญ่ยังคงหดตัว ตามอุปสงค์จากต่างประเทศที่ลดลงต่อเนื่องซึ่งสอดคล้องกับการชะลอตัวของกิจกรรมทางการผลิตของประเทศคู่ค้าสำคัญที่อยู่ในทิศทางชะลอตัว ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้ (1) ตลาดหลัก หดตัวร้อยละ 5.5 โดยหดตัวในตลาดจีนร้อยละ 9.9 ญี่ปุ่น ร้อยละ 4.6 อาเซียน (5) ร้อยละ 15.5 CLMV ร้อยละ 0.3 ขณะที่สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (27) ขยายตัวร้อยละ 1.2 และร้อยละ 0.4 ตามลำดับ (2) ตลาดรอง หดตัวร้อยละ 5.1 โดยหดตัวในตลาดเอเชียใต้ ร้อยละ 16.0 ทวีปออสเตรเลีย ร้อยละ 3.4 ทวีปแอฟริกา ร้อยละ 20.5 รัสเซียและกลุ่ม CIS ร้อยละ 53.1 ขณะที่ตะวันออกกลางและลาตินอเมริกา ขยายตัวร้อยละ 13.8 และร้อยละ 7.1 ตามลำดับ (3) ตลาดอื่น ๆ หดตัวร้อยละ 53.8 อาทิ สวิตเซอร์แลนด์ หดตัวร้อยละ 52.3
ตลาดสหรัฐฯ กลับมาขยายตัวร้อยละ 1.2 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ และส่วนประกอบ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด และเครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 15.3
ตลาดจีน หดตัวร้อยละ 9.9 (หดตัวต่อเนื่อง 6 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยางพารา และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง และข้าว เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2565 หดตัวร้อยละ 6.5
ตลาดญี่ปุ่น หดตัวร้อยละ 4.6 (หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ และรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2565 หดตัวร้อยละ 0.2
ตลาดอาเซียน (5) หดตัวร้อยละ 15.5 (หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ และเครื่องยนต์สันดาปภายใน เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 13.1
ตลาด CLMV หดตัวร้อยละ 0.3 (หดตัวในรอบ 15 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ และน้ำตาลทราย เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 13.9
ตลาดสหภาพยุโรป (27) กลับมาขยายตัวร้อยละ 0.4 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ และเครื่องโทรสาร โทรศัพท์ และส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยางพารา และอัญมณีและเครื่องประดับ
เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 6.2
ตลาดเอเชียใต้ หดตัวร้อยละ 16.0 (หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เคมีภัณฑ์ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเม็ดพลาสติก เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 13.8
ตลาดทวีปออสเตรเลีย หดตัวร้อยละ 3.4 (หดตัวในรอบ 6 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเม็ดพลาสติก เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ และอัญมณีและเครื่องประดับ ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 4.0
ตลาดตะวันออกกลาง ขยายตัวร้อยละ 13.8 (ขยายตัวต่อเนื่อง 10 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ข้าว และอัญมณีและเครื่องประดับ สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เคมีภัณฑ์ และยางพารา เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 24.9
ตลาดทวีปแอฟริกา หดตัวร้อยละ 20.5 (หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ข้าว เครื่องยนต์สันดาปภายใน และเม็ดพลาสติก เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2565 หดตัวร้อยละ 3.7
ตลาดลาตินอเมริกา กลับมาขยายตัวร้อยละ 7.1 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เครื่องยนต์สันดาปภายใน เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ และเม็ดพลาสติก เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 7.6
ตลาดรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS หดตัวร้อยละ 53.1 (หดตัวต่อเนื่อง 9 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง และเม็ดพลาสติก เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ข้าว น้ำมันสำเร็จรูป และ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เป็นต้น ขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2565 หดตัวร้อยละ 38.7
การส่งเสริมการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ และแนวโน้มการส่งออกระยะถัดไป
การส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการเชิงรุกและลึก เพื่อผลักดันและอำนวยความสะดวกการส่งออก โดยการดำเนินงานที่สำคัญในรอบเดือนที่ผ่านมา อาทิ (1) การร่วมผลักดันการค้าออนไลน์ในตลาดจีน โดยกระทรวงพาณิชย์ของไทยและจีน ได้ร่วมลงนาม MOU เพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกัน ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถส่งเสริมสินค้าคุณภาพสูงในช่องทางอีคอมเมิร์ซ และขยายตลาดเพื่อเพิ่มฐานลูกค้าในจีนได้อย่างเต็มที่ (2) การผลักดันการแก้ไขกฎหมายประมง ไม่ให้เกินหลักเกณฑ์การทำประมงของไอยูยู (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU) เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมประมงของไทย เพื่อลดปัญหาการเลิกกิจการประมง และลดการนำเข้าสัตว์น้ำจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเสนอให้แก้ไขบทกำหนดโทษที่มีความรุนแรงเกินไป และแก้ไขกฎหมายแรงงานให้สอดคล้องตามความเป็นจริง เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกในอนาคต และ (3) การเตรียมความพร้อมกับผู้ส่งออกเพื่อรับมือกับมาตรการทางการค้ารูปแบบใหม่ โดยเฉพาะการออกมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) ของสหภาพยุโรป ซึ่งอาจส่งผลต่อผู้ส่งออกไฮโดรเจน เคมีภัณฑ์ และพลาสติก เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ประสานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อเตรียมความพร้อมระบบบริหารจัดการให้อยู่ในระดับสากลและเป็นที่ยอมรับต่อไปในอนาคต
แนวโน้มการส่งออกระยะถัดไป กระทรวงพาณิชย์ ประเมินว่า ภาวะเศรษฐกิจโลก และการบริโภคที่ชะลอตัว จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ประกอบกับภาวะความตึงเครียดของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะมาตรการกีดกันจีนไม่ให้เข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง อาจส่งผลกระทบด้านอุปทานการผลิตสินค้าในบางอุตสาหกรรมที่ไทยต้องพึ่งพาจีน อย่างไรก็ดี จากการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพของธนาคารกลางในหลายประเทศ ส่งผลให้ภาวะเงินเฟ้อและราคาสินค้าเริ่มชะลอตัวลง อาจเป็นปัจจัยหนุนที่ช่วยให้กำลังซื้อของประเทศคู่ค้าปรับตัวดีขึ้นในอนาคต ประกอบกับรัฐบาลได้ส่งเสริมให้มีการส่งออกผ่านช่องทางรถไฟจีน-ลาว มากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการค้าให้เติบโตไปพร้อมกับการเปิดประเทศของจีนตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566 เป็นต้นไป