ปัจจุบัน หลายพื้นที่ของประเทศไทยก็ยังคงประสบวิกฤตฝุ่นควัน PM2.5 เช่นเดียวกันกับปีที่ผ่าน ๆ มา หลายคนอาจเพ่งเล็งไปที่การผลิตภาคเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร หรือการเผาป่าเพื่อทำเกษตรกรรม อย่างไรก็ดี วิกฤตดังกล่าวมีความเชื่อมโยงตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานจนถึงผู้บริโภค และภาคธุรกิจหนึ่งที่มีความสำคัญในการร่วมแก้ไขวิกฤตดังกล่าวก็คือภาคบริการ
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภาคบริการเป็นภาคธุรกิจที่มีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจของไทย โดยในปี 2565 ภาคบริการมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 58.71 ของ GDP ไทย คิดเป็นมูลค่ากว่า 10.2 ล้านล้านบาท มีผู้ประกอบการมากถึงกว่า 2.6 ล้านราย มีการจ้างงานกว่า 12.8 ล้านคน และครอบคลุมธุรกิจหมวดใหญ่ ๆ ถึง 15 สาขา เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของประชาชน อาทิ กิจกรรมการค้าส่ง-ค้าปลีกที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางจัดหาสินค้าจากภาคการผลิตทางเกษตรและอุตสาหกรรมสู่ผู้บริโภค กิจกรรมการขนส่งและจัดเก็บสินค้า หรือธุรกิจโลจิสติกส์ ที่ทำหน้าที่กระจายสินค้าไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ตามความต้องการ รวมถึงการขนส่งผู้โดยสาร ที่เชื่อมโยงวิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน เป็นต้น
ธุรกิจบริการมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขวิกฤตฝุ่นควัน ซึ่งภาคบริการ รวมถึงภาคธุรกิจอื่น ๆ ล้วนแต่สามารถมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาได้ผ่านการบริหารจัดการการผลิตและห่วงโซ่อุปทานของตน อย่างไรก็ดี ภาคธุรกิจและผู้บริโภคอาจจำเป็นจะต้องปรับตัวแลเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินงานและการดำเนินชีวิต รวมถึงอาจมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องบางส่วนสูงขึ้นกว่าปัจจุบันบ้าง แต่จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าต่อสุขภาพและอนาคต ซึ่งภาครัฐก็เป็นอีกหนึ่งผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการแก้ไขวิกฤตนี้ ผ่านการสนับสนุนภาคเอกชนและประชาชนในการปรับตัวอย่างเหมาะสม