พาณิชย์เปิดเวทีรับฟังความเห็น (ร่าง) แผนปฏิบัติการการค้าสินค้าอุตสาหกรรม

พาณิชย์เปิดเวทีรับฟังความเห็น (ร่าง) แผนปฏิบัติการการค้าสินค้าอุตสาหกรรม

avatar

Administrator


157


<p><strong>ดาวน์โหลดข้อมูลฉบับเต็ม:&nbsp;</strong><a href="https://uploads.tpso.go.th/พาณิชย์เปิดเวทีรับฟังความเห็น (ร่าง) แผนปฏิบัติการการค้าสินค้าอุตสาหกรรม.pdf" target="_blank">พาณิชย์เปิดเวทีรับฟังความเห็น (ร่าง) แผนปฏิบัติการการค้าสินค้าอุตสาหกรรม.pdf</a></p>

<p><em><strong>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเวทีรับฟังความเห็นต่อร่างแผนปฏิบัติการเรื่อง การค้าสินค้าอุตสาหกรรม ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการค้าแห่งชาติ พ.ศ. 2568 &ndash; 2570 ผนึกกำลังจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจำนวนกว่า 30 หน่วยงานร่วมแสดงทัศนะ โดยที่ประชุมเห็นชอบ 4 ประเด็นการพัฒนาสำคัญ ได้แก่ (1) ยกระดับสินค้าอุตสาหกรรมให้สอดรับกับความต้องการตลาด (2) พัฒนาระบบนิเวศ (ecosystem) ที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการแข่งขัน (3) เร่งเสริมทักษะแรงงาน และ (4) สร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลก&nbsp;</strong></em></p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้จัดการประชุมรับฟังความเห็นต่อร่างแผนปฏิบัติการเรื่อง การค้าสินค้าอุตสาหกรรม ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ประเด็นสำคัญ ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการค้าแห่งชาติ พ.ศ. 2568 &ndash; 2570&nbsp;โดยได้เชิญผู้แทนจากหน่วยงานทั้งจากภาครัฐ และภาคเอกชน ที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้การค้าสินค้าอุตสาหกรรมของไทยเติบโต ซึ่งภาคอุตสาหกรรม มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มูลค่า GDP ภาคอุตสาหกรรมคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 30.43 ของ GDP ไทย นอกจากนี้ สินค้าส่งออกสำคัญ 10 อันดับแรกของไทยยังเป็นสินค้าอุตสาหกรรมทั้งสิ้น โดยมีมูลค่าการส่งออกรวม 130,601.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 45.81 ของการส่งออกสินค้าทั้งหมดของไทย ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการของแผนปฏิบัติการเรื่อง การค้าสินค้าอุตสาหกรรม ใน 4 ประเด็นหลัก ซึ่งประกอบด้วย <strong>(1) ยกระดับสินค้าอุตสาหกรรมให้สอดรับกับความต้องการตลาด</strong> โดยมุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าอุตสาหกรรมเดิม และส่งเสริมการเติบโตสินค้าอุตสาหกรรมใหม่ ด้วยการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของตลาด การแสวงหาวัตถุดิบที่หลากหลายจากทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งการยกระดับมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรมไทยให้มีมาตรฐานระดับสากล รักษาฐานตลาดเดิม เสริมตลาดใหม่ พร้อมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ <strong>(2) พัฒนาระบบนิเวศ (ecosystem) ที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการแข่งขัน</strong> โดยสนับสนุนความสามารถทางการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการและลดทอนอุปสรรคทางการค้า อาทิ ส่งเสริมการลงทุนภาคอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมและส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศสีเขียวภายในพื้นที่เขตอุตสาหกรรม &nbsp;สร้างโอกาสและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ ขยายการเจรจาและส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์ จากความตกลงและความร่วมมือทางการค้า รวมถึงการทบทวนข้อกฎหมายหรือกฎระเบียบ เพื่อลดข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ <strong>(3) เร่งเสริมทักษะแรงงาน</strong> ทั้งการสนับสนุนการสร้างแรงงานใหม่ (New skill) และการส่งเสริมทักษะแรงงานเดิม (Reskill &amp; Upskill) อาทิ ยกระดับทักษะ สมรรถนะ และศักยภาพของแรงงานในภาคอุตสาหกรรม ให้มีคุณภาพและมีมาตรฐาน พัฒนาหลักสูตรของสถาบันการศึกษาให้สามารถสร้างบุคลากรใหม่ที่มีศักยภาพและตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมใหม่ให้เข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น และการดึงดูดแรงงานต่างชาติ ที่มีทักษะให้เข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น และ <strong>(4) สร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลก</strong> โดยการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรม และมุ่งสร้างความสามารถในการปรับตัว อาทิ ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้พื้นฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อนำไปสู่การยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไปสู่การทำธุรกิจฐานนวัตกรรม และการผลิตผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูง จัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์อุตสาหกรรม พัฒนาและจัดการฐานข้อมูล รวมถึงพัฒนาระบบเฝ้าระวัง/เตือนภัยภาคอุตสาหกรรม</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผอ.สนค. ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญเพื่อให้เกิดแนวทางการขับเคลื่อนที่จะผลักดันการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างเป็นระบบตลอดห่วงโซ่คุณค่า รวมถึงมุ่งส่งเสริมและสร้างเกราะป้องกันอุตสาหกรรมไทยให้สามารถปรับตัวได้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงในมิติต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยจะนำความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ได้รับไปพัฒนาและปรับปรุงแผนดังกล่าวให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น ก่อนนำไปรับฟังความเห็นในวงกว้าง (public hearing) กลางเดือนกันยายน และจะเสนอแผนดังกล่าวต่อสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ก่อนเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อขอความเห็นชอบและประกาศใช้อย่างเป็นทางการต่อไป</p>

ดาวน์โหลดข้อมูลฉบับเต็ม: 

          สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเวทีรับฟังความเห็นต่อร่างแผนปฏิบัติการเรื่อง การค้าสินค้าอุตสาหกรรม ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการค้าแห่งชาติ พ.ศ. 2568 – 2570 ผนึกกำลังจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจำนวนกว่า 30 หน่วยงานร่วมแสดงทัศนะ โดยที่ประชุมเห็นชอบ 4 ประเด็นการพัฒนาสำคัญ ได้แก่ (1) ยกระดับสินค้าอุตสาหกรรมให้สอดรับกับความต้องการตลาด (2) พัฒนาระบบนิเวศ (ecosystem) ที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการแข่งขัน (3) เร่งเสริมทักษะแรงงาน และ (4) สร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลก 

          เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้จัดการประชุมรับฟังความเห็นต่อร่างแผนปฏิบัติการเรื่อง การค้าสินค้าอุตสาหกรรม ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ประเด็นสำคัญ ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการค้าแห่งชาติ พ.ศ. 2568 – 2570 โดยได้เชิญผู้แทนจากหน่วยงานทั้งจากภาครัฐ และภาคเอกชน ที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้การค้าสินค้าอุตสาหกรรมของไทยเติบโต ซึ่งภาคอุตสาหกรรม มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มูลค่า GDP ภาคอุตสาหกรรมคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 30.43 ของ GDP ไทย นอกจากนี้ สินค้าส่งออกสำคัญ 10 อันดับแรกของไทยยังเป็นสินค้าอุตสาหกรรมทั้งสิ้น โดยมีมูลค่าการส่งออกรวม 130,601.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 45.81 ของการส่งออกสินค้าทั้งหมดของไทย ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการของแผนปฏิบัติการเรื่อง การค้าสินค้าอุตสาหกรรม ใน 4 ประเด็นหลัก ซึ่งประกอบด้วย (1) ยกระดับสินค้าอุตสาหกรรมให้สอดรับกับความต้องการตลาด โดยมุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าอุตสาหกรรมเดิม และส่งเสริมการเติบโตสินค้าอุตสาหกรรมใหม่ ด้วยการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของตลาด การแสวงหาวัตถุดิบที่หลากหลายจากทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งการยกระดับมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรมไทยให้มีมาตรฐานระดับสากล รักษาฐานตลาดเดิม เสริมตลาดใหม่ พร้อมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ (2) พัฒนาระบบนิเวศ (ecosystem) ที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการแข่งขัน โดยสนับสนุนความสามารถทางการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการและลดทอนอุปสรรคทางการค้า อาทิ ส่งเสริมการลงทุนภาคอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมและส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศสีเขียวภายในพื้นที่เขตอุตสาหกรรม  สร้างโอกาสและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ ขยายการเจรจาและส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์ จากความตกลงและความร่วมมือทางการค้า รวมถึงการทบทวนข้อกฎหมายหรือกฎระเบียบ เพื่อลดข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ (3) เร่งเสริมทักษะแรงงาน ทั้งการสนับสนุนการสร้างแรงงานใหม่ (New skill) และการส่งเสริมทักษะแรงงานเดิม (Reskill & Upskill) อาทิ ยกระดับทักษะ สมรรถนะ และศักยภาพของแรงงานในภาคอุตสาหกรรม ให้มีคุณภาพและมีมาตรฐาน พัฒนาหลักสูตรของสถาบันการศึกษาให้สามารถสร้างบุคลากรใหม่ที่มีศักยภาพและตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมใหม่ให้เข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น และการดึงดูดแรงงานต่างชาติ ที่มีทักษะให้เข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น และ (4) สร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลก โดยการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรม และมุ่งสร้างความสามารถในการปรับตัว อาทิ ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้พื้นฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อนำไปสู่การยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไปสู่การทำธุรกิจฐานนวัตกรรม และการผลิตผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูง จัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์อุตสาหกรรม พัฒนาและจัดการฐานข้อมูล รวมถึงพัฒนาระบบเฝ้าระวัง/เตือนภัยภาคอุตสาหกรรม

          ผอ.สนค. ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญเพื่อให้เกิดแนวทางการขับเคลื่อนที่จะผลักดันการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างเป็นระบบตลอดห่วงโซ่คุณค่า รวมถึงมุ่งส่งเสริมและสร้างเกราะป้องกันอุตสาหกรรมไทยให้สามารถปรับตัวได้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงในมิติต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยจะนำความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ได้รับไปพัฒนาและปรับปรุงแผนดังกล่าวให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น ก่อนนำไปรับฟังความเห็นในวงกว้าง (public hearing) กลางเดือนกันยายน และจะเสนอแผนดังกล่าวต่อสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ก่อนเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อขอความเห็นชอบและประกาศใช้อย่างเป็นทางการต่อไป

เผยแพร่เมื่อวันที่ 04 กันยายน 2567