สนค. “เจาะ 10 เทรนด์เครื่องดื่มปี 2568 เร่งตอบโจทย์ไปไกลได้ทุกตลาด”

สนค. “เจาะ 10 เทรนด์เครื่องดื่มปี 2568 เร่งตอบโจทย์ไปไกลได้ทุกตลาด”

avatar

Administrator


280


<p>&nbsp; &nbsp;<strong>ดาวน์โหลดข้อมูลฉบับเต็ม:&nbsp;</strong><a href="https://uploads.tpso.go.th/สนค. “เจาะ 10 เทรนด์เครื่องดื่มปี 2568 เร่งตอบโจทย์ไปไกลได้ทุกตลาด”.pdf" target="_blank">สนค. &ldquo;เจาะ 10 เทรนด์เครื่องดื่มปี 2568 เร่งตอบโจทย์ไปไกลได้ทุกตลาด&rdquo;.pdf</a></p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เผย 10 เทรนด์สินค้าเครื่องดื่มปี 2568 ชี้ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพสินค้าและการนำนวัตกรรมมาใช้ เพื่อให้สินค้าไทยไปไกลได้ทุกตลาด</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ข้อมูลจาก Innova Market Insights<sup>1</sup>&nbsp;หนึ่งในผู้นำด้านการวิจัยตลาดอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก พบแนวโน้มตลาดสินค้าเครื่องดื่มที่น่าสนใจ ดังนี้<br />
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; <strong>1) ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความสดใหม่ คุณค่าทางโภชนาการ และประโยชน์ต่อสุขภาพของผลิตภัณฑ์อย่างมาก (Ingredients and Beyond)</strong> ผู้บริโภคต้องการทราบแหล่งที่มาของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่บริโภคมีคุณค่าทางโภชนาการและปลอดภัยต่อสุขภาพ<br />
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; <strong>2) ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพและโภชนาการเฉพาะบุคคล (Health &ndash; Precision Wellness)</strong> ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับเครื่องดื่มเฉพาะบุคคล อาทิ การควบคุมและลดน้ำหนัก หรือการได้รับสารอาหารตามโภชนาการเฉพาะตัวในแต่ละช่วงอายุวัย เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ที่มีการกล่าวอ้างถึงการจัดการปัญหาการควบคุมน้ำหนักและโภชนาการตามช่วงอายุวัยและไลฟ์สไตล์ มีการเติบโต 10% ต่อปี<br />
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; <strong>3) ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Wildly Inventive)</strong> ผู้บริโภค 43% มักมองหารสชาติใหม่ ๆ อยู่เสมอ และ 37% ติดตามเทรนด์เครื่องดื่มผ่านโซเชียลมีเดีย การเลือกใช้รสชาติของผลไม้ตามฤดูกาล การผสมผสานระหว่างเครื่องดื่มและของหวานเป็นสิ่งที่น่าจับตามอง จากข้อมูลวิจัยพบว่า สินค้าดังกล่าวเติบโตเฉลี่ยปีละ 16% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพราะสินค้ามีเอกลักษณ์ และสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับผู้บริโภค&nbsp;<br />
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; <strong>4) เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมช่วยฟื้นฟูลำไส้ (Gut Health &ndash; Flourish from Within)</strong> เช่น ไฟเบอร์ โปรไบโอติกส์ และวิตามิน เพื่อสร้างสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้และระบบย่อยอาหารเป็นเทรนด์เครื่องดื่มที่สำคัญ ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติดังกล่าว เติบโต 8% ต่อปี&nbsp;<br />
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; <strong>5) ตลาดผลิตภัณฑ์จากพืช (Plant-Based &ndash; Rethinking Plants)</strong> กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตลาด Plant-Based มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 23% และผู้บริโภคยังมุ่งเน้นการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพของผู้บริโภคอีกด้วย<br />
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; <strong>6) การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน (Sustainability &ndash; Climate adaptation)</strong> การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศส่งผลต่ออุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ผู้บริโภค 50% ตระหนักถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้แบรนด์ต้องปรับตัว เช่น มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ทดแทนสินค้าเดิม หรือการค้นหาวัตถุดิบทางเลือกที่ทนทานต่อสภาพอากาศที่แปรปรวน&nbsp;<br />
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; <strong>7) เครื่องดื่มเพื่อความงาม (Beauty Food &ndash; Taste the Glow) </strong>1 ใน 5 ของผู้บริโภคทั่วโลกเลือกซื้อเครื่องดื่มที่ช่วยเรื่องรูปลักษณ์ความงาม เช่น คอลลาเจน และวิตามิน โดยเฉพาะผู้หญิงวัยกลางคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวและชะลอวัย ให้ความสำคัญกับผิวหน้า ผม และผิวกาย เป็นสำคัญ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มีการเติบโตถึง 11% ต่อปี<br />
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; <strong>8) วัฒนธรรมทางอาหารและเครื่องดื่ม (Food Culture - Tradition Reinvented)</strong> ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงอาหารและเครื่องดื่มกับวัฒนธรรม ความหลากหลายของรสชาติและวัตถุดิบท้องถิ่น รวมถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สะท้อนความแตกต่างทางวัฒนธรรมในแต่ละภูมิภาค ซึ่งเป็นการสร้างความโดดเด่นให้กับผลิตภัณฑ์ และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีความแตกต่างกัน อาทิ กลุ่มวัยผู้ใหญ่ที่ต้องการรสชาติที่คุ้นเคย และกลุ่มคนรุ่นใหม่/นักท่องเที่ยวที่ต้องการทดลองประสบการณ์ใหม่ในแต่ละท้องถิ่น โดยการทดลองชิมอาหารรสชาติใหม่ที่แตกต่างออกไป&nbsp;<br />
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; <strong>9) เครื่องดื่มสำหรับสุขภาพจิต (Mood Food - Mindful Choices)</strong> ตลาดกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภค 36% มองหาเครื่องดื่มที่ช่วยควบคุมอารมณ์และการนอนหลับ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของวิตามิน B6 B9 และ B12 เป็นส่วนผสมที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากวิตามินเหล่านี้ มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการทำงานของสมองและระบบประสาท<br />
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; <strong>10) การเข้ามามีบทบาทของ AI (AI &ndash; Bytes to Bites)</strong> การนำ AI มาใช้ในทุกขั้นตอนกระบวนการผลิต ตั้งแต่การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ การเลือกวัตถุดิบ การออกแบบผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการควบคุมคุณภาพ บริษัทต่าง ๆ ใช้ AI เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว ตรงจุด และมีประสิทธิภาพ &nbsp;&nbsp; &nbsp;</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; นายพูนพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า &ldquo;เทรนด์ธุรกิจเครื่องดื่มปีนี้เป็นที่น่าจับตามอง อุตสาหกรรมเครื่องดื่มยังคงเติบโตต่อเนื่อง ผู้บริโภคมองหาทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพและบริโภคได้ทุกโอกาส ที่สำคัญผู้บริโภคยุคใหม่เปรียบเทียบคุณภาพ ที่มาที่ไปของวัตถุดิบ ความซื่อสัตย์และความโปร่งใสของบริษัทแลกกับราคาที่จ่าย ผู้บริโภคยอมจ่ายสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าปริมาณและราคาเมื่อเทียบกับสมัยก่อน ซึ่งการแข่งขันในตลาดนี้มีความเข้มข้น ทั้งจากประเทศที่ต้นทุนการผลิตต่ำกว่า หรือประเทศที่สร้างแบรนด์มาอย่างยาวนาน ดังนั้น ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับคุณภาพวัตถุดิบ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และสร้างความแตกต่าง การใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การตรวจสอบย้อนกลับสินค้า การให้ข้อมูลคุณประโยชน์ของสินค้าที่มีต่อสุขภาพ และการสร้างเรื่องราว (Story Telling) เพื่อดึงความสนใจและสร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ ซึ่งไทยมีศักยภาพสูงในตลาดเครื่องดื่ม โดยเฉพาะเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มน้ำผลไม้ โดยในปี 2566 ไทยส่งออกสินค้าเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นอันดับที่ 5 ของโลก และเครื่องดื่มน้ำผลไม้ เป็นอันดับที่ 9 ของโลก&rdquo;</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สถิติการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (พิกัด 2202) ในปี 2566 โลกส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นมูลค่า 29,356.85 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 5 ของโลก มีสัดส่วน 5.3% ของมูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของทั้งโลก (ประเทศผู้ส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 10 อันดับแรกของโลก ได้แก่ ออสเตรีย (9.9%) เยอรมนี (9.3%) เนเธอร์แลนด์ (8.4%) สวิตเซอร์แลนด์ (5.4%) ไทย (5.3%) สหรัฐอเมริกา (5.2%) เม็กซิโก (3.8%) เบลเยียม (3.7%) ฝรั่งเศส (3.6%) และโปแลนด์ (3.1%) ตามลำดับ) ทั้งนี้ ตลาดส่งออกของไทยอยู่ในภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก สินค้าที่ไทยส่งออกมาก เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง นมถั่วเหลือง นมยูเอชที และน้ำหรือน้ำอัดลมที่ปรุงกลิ่นรส สำหรับปี 2567 ไทยส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นมูลค่า 1,663.81 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 6.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตลาดส่งออกหลักของไทย ได้แก่ (1) กลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) 1,121.1 ล้านเหรียญสหรัฐ (67.4% ของมูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย) (2) มาเลเซีย 88.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (5.3%) (3) จีน 53.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (3.3%) (4) ฟิลิปปินส์ 48.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (2.9%) และ (5) สหรัฐอเมริกา 40.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (2.5%)&nbsp;</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สำหรับสถิติการส่งออกเครื่องดื่มน้ำผลไม้ (พิกัด 2009) ในปี 2566 โลกส่งออกเครื่องดื่มน้ำผลไม้ เป็นมูลค่า 17,850.13 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 9 ของโลก มีสัดส่วน 4.1% ของมูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มน้ำผลไม้ของทั้งโลก (ประเทศผู้ส่งออกเครื่องดื่มน้ำผลไม้ 10 อันดับแรกของโลก ได้แก่ บราซิล (15%) เนเธอร์แลนด์ (9.5%) สเปน (6.1%) จีน (5.1%) โปแลนด์ (5%) เยอรมนี (4.9%) เบลเยียม (4.7%) สหรัฐอเมริกา (4.2%) ไทย (4.1%) และอิตาลี (3.7%) ตามลำดับ) สินค้าที่ไทยส่งออกมาก ได้แก่ น้ำมะพร้าว น้ำผลไม้หรือน้ำพืชผักต่าง ๆ ผสมกัน และน้ำสับปะรด สำหรับปี 2567 ไทยส่งออกเครื่องดื่มน้ำผลไม้ เป็นมูลค่า 959.38 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 30.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตลาดส่งออกหลักของไทย ได้แก่ (1) สหรัฐอเมริกา 335.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (35.0% ของมูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มน้ำผลไม้ของไทย) (2) จีน 249.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (26.0%) (3) กลุ่มประเทศ CLMV 100.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (10.5%) (4) ออสเตรเลีย 44.65 ล้านเหรียญสหรัฐ (4.7%) และ (5) เนเธอร์แลนด์ 33.62 ล้านเหรียญสหรัฐ (3.5%)</p>

<hr />
<p><sup>1</sup> ข้อมูลจาก https://www.innovamarketinsights.com/press-releases/top-ten-trends-2025/</p>

   ดาวน์โหลดข้อมูลฉบับเต็ม: 

          สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เผย 10 เทรนด์สินค้าเครื่องดื่มปี 2568 ชี้ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพสินค้าและการนำนวัตกรรมมาใช้ เพื่อให้สินค้าไทยไปไกลได้ทุกตลาด

          นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ข้อมูลจาก Innova Market Insights1 หนึ่งในผู้นำด้านการวิจัยตลาดอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก พบแนวโน้มตลาดสินค้าเครื่องดื่มที่น่าสนใจ ดังนี้
          1) ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความสดใหม่ คุณค่าทางโภชนาการ และประโยชน์ต่อสุขภาพของผลิตภัณฑ์อย่างมาก (Ingredients and Beyond) ผู้บริโภคต้องการทราบแหล่งที่มาของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่บริโภคมีคุณค่าทางโภชนาการและปลอดภัยต่อสุขภาพ
          2) ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพและโภชนาการเฉพาะบุคคล (Health – Precision Wellness) ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับเครื่องดื่มเฉพาะบุคคล อาทิ การควบคุมและลดน้ำหนัก หรือการได้รับสารอาหารตามโภชนาการเฉพาะตัวในแต่ละช่วงอายุวัย เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ที่มีการกล่าวอ้างถึงการจัดการปัญหาการควบคุมน้ำหนักและโภชนาการตามช่วงอายุวัยและไลฟ์สไตล์ มีการเติบโต 10% ต่อปี
          3) ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Wildly Inventive) ผู้บริโภค 43% มักมองหารสชาติใหม่ ๆ อยู่เสมอ และ 37% ติดตามเทรนด์เครื่องดื่มผ่านโซเชียลมีเดีย การเลือกใช้รสชาติของผลไม้ตามฤดูกาล การผสมผสานระหว่างเครื่องดื่มและของหวานเป็นสิ่งที่น่าจับตามอง จากข้อมูลวิจัยพบว่า สินค้าดังกล่าวเติบโตเฉลี่ยปีละ 16% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพราะสินค้ามีเอกลักษณ์ และสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับผู้บริโภค 
          4) เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมช่วยฟื้นฟูลำไส้ (Gut Health – Flourish from Within) เช่น ไฟเบอร์ โปรไบโอติกส์ และวิตามิน เพื่อสร้างสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้และระบบย่อยอาหารเป็นเทรนด์เครื่องดื่มที่สำคัญ ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติดังกล่าว เติบโต 8% ต่อปี 
          5) ตลาดผลิตภัณฑ์จากพืช (Plant-Based – Rethinking Plants) กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตลาด Plant-Based มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 23% และผู้บริโภคยังมุ่งเน้นการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพของผู้บริโภคอีกด้วย
          6) การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน (Sustainability – Climate adaptation) การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศส่งผลต่ออุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ผู้บริโภค 50% ตระหนักถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้แบรนด์ต้องปรับตัว เช่น มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ทดแทนสินค้าเดิม หรือการค้นหาวัตถุดิบทางเลือกที่ทนทานต่อสภาพอากาศที่แปรปรวน 
          7) เครื่องดื่มเพื่อความงาม (Beauty Food – Taste the Glow) 1 ใน 5 ของผู้บริโภคทั่วโลกเลือกซื้อเครื่องดื่มที่ช่วยเรื่องรูปลักษณ์ความงาม เช่น คอลลาเจน และวิตามิน โดยเฉพาะผู้หญิงวัยกลางคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวและชะลอวัย ให้ความสำคัญกับผิวหน้า ผม และผิวกาย เป็นสำคัญ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มีการเติบโตถึง 11% ต่อปี
          8) วัฒนธรรมทางอาหารและเครื่องดื่ม (Food Culture - Tradition Reinvented) ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงอาหารและเครื่องดื่มกับวัฒนธรรม ความหลากหลายของรสชาติและวัตถุดิบท้องถิ่น รวมถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สะท้อนความแตกต่างทางวัฒนธรรมในแต่ละภูมิภาค ซึ่งเป็นการสร้างความโดดเด่นให้กับผลิตภัณฑ์ และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีความแตกต่างกัน อาทิ กลุ่มวัยผู้ใหญ่ที่ต้องการรสชาติที่คุ้นเคย และกลุ่มคนรุ่นใหม่/นักท่องเที่ยวที่ต้องการทดลองประสบการณ์ใหม่ในแต่ละท้องถิ่น โดยการทดลองชิมอาหารรสชาติใหม่ที่แตกต่างออกไป 
          9) เครื่องดื่มสำหรับสุขภาพจิต (Mood Food - Mindful Choices) ตลาดกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภค 36% มองหาเครื่องดื่มที่ช่วยควบคุมอารมณ์และการนอนหลับ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของวิตามิน B6 B9 และ B12 เป็นส่วนผสมที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากวิตามินเหล่านี้ มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการทำงานของสมองและระบบประสาท
          10) การเข้ามามีบทบาทของ AI (AI – Bytes to Bites) การนำ AI มาใช้ในทุกขั้นตอนกระบวนการผลิต ตั้งแต่การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ การเลือกวัตถุดิบ การออกแบบผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการควบคุมคุณภาพ บริษัทต่าง ๆ ใช้ AI เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว ตรงจุด และมีประสิทธิภาพ     

          นายพูนพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “เทรนด์ธุรกิจเครื่องดื่มปีนี้เป็นที่น่าจับตามอง อุตสาหกรรมเครื่องดื่มยังคงเติบโตต่อเนื่อง ผู้บริโภคมองหาทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพและบริโภคได้ทุกโอกาส ที่สำคัญผู้บริโภคยุคใหม่เปรียบเทียบคุณภาพ ที่มาที่ไปของวัตถุดิบ ความซื่อสัตย์และความโปร่งใสของบริษัทแลกกับราคาที่จ่าย ผู้บริโภคยอมจ่ายสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าปริมาณและราคาเมื่อเทียบกับสมัยก่อน ซึ่งการแข่งขันในตลาดนี้มีความเข้มข้น ทั้งจากประเทศที่ต้นทุนการผลิตต่ำกว่า หรือประเทศที่สร้างแบรนด์มาอย่างยาวนาน ดังนั้น ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับคุณภาพวัตถุดิบ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และสร้างความแตกต่าง การใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การตรวจสอบย้อนกลับสินค้า การให้ข้อมูลคุณประโยชน์ของสินค้าที่มีต่อสุขภาพ และการสร้างเรื่องราว (Story Telling) เพื่อดึงความสนใจและสร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ ซึ่งไทยมีศักยภาพสูงในตลาดเครื่องดื่ม โดยเฉพาะเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มน้ำผลไม้ โดยในปี 2566 ไทยส่งออกสินค้าเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นอันดับที่ 5 ของโลก และเครื่องดื่มน้ำผลไม้ เป็นอันดับที่ 9 ของโลก”

          สถิติการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (พิกัด 2202) ในปี 2566 โลกส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นมูลค่า 29,356.85 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 5 ของโลก มีสัดส่วน 5.3% ของมูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของทั้งโลก (ประเทศผู้ส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 10 อันดับแรกของโลก ได้แก่ ออสเตรีย (9.9%) เยอรมนี (9.3%) เนเธอร์แลนด์ (8.4%) สวิตเซอร์แลนด์ (5.4%) ไทย (5.3%) สหรัฐอเมริกา (5.2%) เม็กซิโก (3.8%) เบลเยียม (3.7%) ฝรั่งเศส (3.6%) และโปแลนด์ (3.1%) ตามลำดับ) ทั้งนี้ ตลาดส่งออกของไทยอยู่ในภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก สินค้าที่ไทยส่งออกมาก เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง นมถั่วเหลือง นมยูเอชที และน้ำหรือน้ำอัดลมที่ปรุงกลิ่นรส สำหรับปี 2567 ไทยส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นมูลค่า 1,663.81 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 6.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตลาดส่งออกหลักของไทย ได้แก่ (1) กลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) 1,121.1 ล้านเหรียญสหรัฐ (67.4% ของมูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย) (2) มาเลเซีย 88.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (5.3%) (3) จีน 53.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (3.3%) (4) ฟิลิปปินส์ 48.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (2.9%) และ (5) สหรัฐอเมริกา 40.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (2.5%) 

          สำหรับสถิติการส่งออกเครื่องดื่มน้ำผลไม้ (พิกัด 2009) ในปี 2566 โลกส่งออกเครื่องดื่มน้ำผลไม้ เป็นมูลค่า 17,850.13 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 9 ของโลก มีสัดส่วน 4.1% ของมูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มน้ำผลไม้ของทั้งโลก (ประเทศผู้ส่งออกเครื่องดื่มน้ำผลไม้ 10 อันดับแรกของโลก ได้แก่ บราซิล (15%) เนเธอร์แลนด์ (9.5%) สเปน (6.1%) จีน (5.1%) โปแลนด์ (5%) เยอรมนี (4.9%) เบลเยียม (4.7%) สหรัฐอเมริกา (4.2%) ไทย (4.1%) และอิตาลี (3.7%) ตามลำดับ) สินค้าที่ไทยส่งออกมาก ได้แก่ น้ำมะพร้าว น้ำผลไม้หรือน้ำพืชผักต่าง ๆ ผสมกัน และน้ำสับปะรด สำหรับปี 2567 ไทยส่งออกเครื่องดื่มน้ำผลไม้ เป็นมูลค่า 959.38 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 30.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตลาดส่งออกหลักของไทย ได้แก่ (1) สหรัฐอเมริกา 335.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (35.0% ของมูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มน้ำผลไม้ของไทย) (2) จีน 249.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (26.0%) (3) กลุ่มประเทศ CLMV 100.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (10.5%) (4) ออสเตรเลีย 44.65 ล้านเหรียญสหรัฐ (4.7%) และ (5) เนเธอร์แลนด์ 33.62 ล้านเหรียญสหรัฐ (3.5%)


1 ข้อมูลจาก https://www.innovamarketinsights.com/press-releases/top-ten-trends-2025/

เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568